เรารู้จัก ‘มิสโอ๊ต-ปฏิพล อัศวมหาพงษ์’ ครั้งแรกในฐานะนักเขียน
จากนั้น ถึงได้รู้ว่าเธอเป็นศิลปินเควียร์เธียเตอร์ซึ่งควบหลายบทบาท — นักแสดง โปรดิวเซอร์ ผู้กำกับ ดรามาเติร์ก ผู้ก่อตั้งกลุ่มละคร Miss Theatre ไดเรกเตอร์เทศกาลศิลปะการแสดงเพื่อความหลากหลายทางเพศ #H0M0HAUS ฯลฯ
โดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว เราแน่ใจว่าเธอเป็นนักอ่าน เธอพูดถึงหนังสือเล่มนั้นเล่มนี้อยู่เสมอ เพอร์ฟอร์มานซ์เล่าเรื่องชีวิตของเธอหลายชิ้น ก็มักมีหนังสือจัดวางเป็นพร็อพประกอบฉาก ตอกย้ำให้เราเห็นว่าหนังสือมีอิทธิพลกับเธอ …กับทั้งการงานและชีวิตของเธอ
เมื่อต้องทำมินิซีรีส์เกี่ยวกับหนังสือ Books to You เราเลยนึกถึงเธอเป็นคนแรก ๆ ยิ่งในหมวดหมู่ Artivist—นักเคลื่อนไหวในแวดวงศิลปะร่วมสมัย เธอยิ่งเหมาะสม เพราะเธออ่านดุ เคลื่อนไหวหนัก และต่อสู้ประเด็นเควียร์อย่างเต็มกำลังตลอดมาผ่านศิลปะการละคร
แล้วเธอก็ไม่ทำให้พวกเราผิดหวัง หนังสือที่เธอลิสต์มาให้ทั้งสามเล่ม — 01 ผุดเกิดมาลาร่ำ ของอารยา ราษฎร์จำเริญสุข 02 A Very Easy Death (แปลจาก Une mort très douce) ของ Simone de Beauvoir 03 Blue ของ Derek Jarman — จัดจ้านชัดเจนในทางของตัวเอง สะท้อนงานศิลปะและชีวิตของเธอได้ยอดเยี่ยม (ซึ่งจะพิสูจน์ให้เห็นต่อจากนี้) และเป็นที่ตื่นเต้นของทีมบรรณาธิการ
อ่าน 101
―
เรารู้ว่าคุณอยากกระโจนใส่หนังสือเล่มแรกเต็มที อยากอ่านว่าเธอคิดเห็นอย่างไรกับมัน แต่เราขอให้คุณค่อยเป็นค่อยไปในจังหวะเดียวกันกับที่มิสโอ๊ตอ่านหนังสือ ทำความรู้จักพื้นเพกับโลกการอ่านของเธอให้เห็นภาพกว้างก่อน
เธอเล่าว่า เธอเกิดมาในครอบครัวชนชั้นกลางกึ่งจีนกึ่งล้านนาในกรุงเทพฯ ที่พ่อ-แม่ต้องทำงานหนักมาซัพพอร์ตครอบครัว จนไม่ได้มีเวลาเหลือเฟือมาคอยประคบประหงมลูก ๆ เธอจึงเติบโตมากับทีวีและหนังสือ
เธอเริ่มต้นเส้นทางนักอ่านไม่ต่างจากเด็กคนอื่น ๆ อ่านนิทานก่อนเข้านอน และค่อย ๆ มีอิสระทางการอ่านเพิ่มขึ้นเมื่อเข้าโรงเรียน
“โอ๊ตเรียนโรงเรียนคริสต์ เป็นเด็กนักเรียนชายอ้อนแอ้น (หัวเราะ) เลยต้องหาที่ที่คนน้อย ๆ เพราะถ้าอยู่ในที่ที่คนเยอะ ๆ จะโดนแกล้ง ห้องสมุดเลยเป็นที่หลบภัย แล้วพออยู่ที่นั่นก็ไม่รู้จะทำอะไร ก็ต้องอ่านหนังสือ” เธอบอก
แล้วหนังสือแรก ๆ ที่อ่าน
เป็นประมาณไหน
―
“ตอนนั้น โอ๊ตไม่ได้มีความสามารถที่จะอ่านตัวอักษรยืดยาวขนาดนั้น หนังสือที่ชอบอ่านแรก ๆ เลยเป็นหนังสือภาพ เป็นการ์ตูนที่เล่าอัตชีวประวัติคนดัง ๆ แบบเจ้าหญิงไดอาน่า แม่ชีเทเรซา มาดามมารี กูว์รี (Marie Curie)
จากนั้น ก็อ่านวรรณกรรมเยาวชนแฟนตาซี พอสนใจการเรียนภาษาอังกฤษ ก็ไปบอกพ่อ-แม่ว่าอยากอ่านแฮรี่ พอตเตอร์ (Harry Potter) แล้วแม่ก็มีไอเดียว่าให้อ่านภาษาอังกฤษไปเลย”
มีเหตุผลอะไรเป็นพิเศษ
ที่ทำให้ชอบอ่านแฟนตาซีไหม
―
“คิดว่าเพราะมันเป็นโลกที่เราไม่เคยเจอมาก่อน ไม่รู้ว่ามันสะท้อนความต้องการบางอย่างของตัวเองด้วยหรือเปล่า แต่เอนจอยมากที่ได้อ่านโลกที่ไม่ใช่โลกปรกติของมนุษย์ อ่านแนวนี้ตั้งแต่ประถมปลายถึง ม.ต้นเลยค่ะ”
แล้วจากนั้นอ่านแบบไหนต่อ
―
“พอโตขึ้น เริ่มไปสยาม ก็จะไปศูนย์หนังสือจุฬาฯ สมัยก่อน ชั้นล่างจะเป็นโถงใหญ่ ๆ ให้ซื้อของ ส่วนชั้นสองจะมีนักเขียนมานั่งเซ็นหนังสือ เราสนใจอีเวนต์พวกนั้นมาก เพราะไม่เคยเห็นมาก่อน
ยุคที่เราเติบโตมา วรรณกรรมเยาวชนแฟนตาซีบูมสุด ๆ เหมือนพอ Harry Potter ประสบความสำเร็จใคร ๆ ก็อยากเป็น J.K. Rowling …ตัวเอกวันแอนด์โอนลี่เข้าไปเรียนหนังสือ มีพลังวิเศษไปปราบปิศาจ”
ช่วงมหาลัย
มีเวลาอ่านหนังสือบ้างไหม
และอ่านแนวไหนเป็นหลัก
―
“อ่านเยอะค่ะ ตอนมหาลัยรู้สึกว่าตัวเองโง่ (หัวเราะ) ตอนมัธยม ถ้าทำตามสูตรที่เขาวางไว้ เราก็จะได้เกรดดีใช่ไหม แต่พอมหาลัยสูตรสำเร็จใช้ไม่ได้แล้ว เราเรียนนิเทศศาสตร์มา มันเกี่ยวข้องกับการสื่อสาร ซึ่งก็หนีไม่พ้นเรื่องการเมืองกับประวัติศาสตร์ เราเลยต้องอ่านเยอะ
มันเริ่มจากที่อาจารย์ในคณะให้อ่าน นายในฯ (นายใน สมัยรัชกาลที่ 6 โดย ชานันท์ ยอดหงษ์) เล่มนี้ทำให้เรารู้ว่า เราโง่ประวัติศาสตร์ไทย เราเลยหันมาอ่านสิ่งที่นอกเหนือไปจากฟิกชั่น”
มาเริ่มอ่านเฟมินิสม์
อย่างที่อ่านทุกวันนี้ตอนไหน
―
“สมัยที่เราเรียน เขายังให้แต่งกายตามเพศสภาพ เพื่อนที่ผมยาวมีหน้าอกก็ยังต้องใส่กางเกงมาเข้าเรียนอยู่ เรารู้สึกไม่โอเค อาจารย์คนหนึ่งเลยแนะนำให้เราอ่านงานเกี่ยวกับเฟมินิสม์ ประกอบกับว่า ได้เรียนวิชาที่พูดถึงเฟมินิสม์ แล้วอาจารย์ก็ยกชื่อ ‘ซีโมน เดอ โบวัวร์’ (Simone de Beauvoir) กับ ‘จูดิธ บัตเลอร์’ (Judith Butler) ขึ้นมาเล็ก ๆ แต่เราก็ไม่ได้เก็ตขนาดนั้นนะ เป็นเฟมินิสม์ 101 มาก ๆ แค่รู้ว่ามันมีคอนเซปต์นี้อยู่บนโลก
จนถึงปี 4 ที่ต้องทำธีสิส เราไม่รู้ว่าจะทำเรื่องอะไรดี อาจารย์ที่ปรึกษาเลยบอกให้ลองทำงานจากเรื่องรอบ ๆ ตัว เราก็มานั่งคิดว่าชีวิตตัวเองไม่ได้มีอะไรมาก นอกจากการเป็นกะเทย ถึงได้อ่านเฟมินิสม์ปริมาณมาก เพราะต้องเตรียมข้อมูลเยอะและอยากฉลาดกว่าที่เป็นอยู่”
พออ่านแล้ว
ฉลาดขึ้น…
―
“โง่เหมือนเดิมค่ะ” เธอสวนขวับโดยไม่รอให้ถามจบ แล้วจากนั้นก็หัวเราะกันยกใหญ่
เราขยับคำถามให้เป็นปัจจุบันขึ้น เธอเองก็ขยับคำตอบให้เข้มข้นขึ้นเหมือนกัน เรายิงไปเท่าไหร่ เธอตอบกลับมากกว่า เธอบอกว่า “ถ้าเป็นเรื่องหนังสือ เธอคุยได้เรื่อย ๆ” เธอสู้ไม่ถอย
ความสัมพันธ์ของมิสกับหนังสือ
เป็นยังไงบ้างตอนนี้
―
“มันเหมือนเป็นเพื่อนเราคนหนึ่ง มันคอมฟอร์ตเรา ช่วยอะไรเราบางอย่างเสมอ หลายครั้งที่ตั้งคำถามกับการแสดง ว่าสิ่งที่ตัวเองทำสมาทานอะไร ก็จะกลับไปอ่านหนังสือ
เรามาค้นพบทีหลังว่า ตอนเด็ก ๆ เราอ่านเพื่อหลีกหนีสังคม ขณะที่โตมาแล้ว เรารู้สึกว่าหนังสือทำให้เรามีพื้นที่ มี Existence (การดำรงอยู่) ในสังคมที่เราใช้ชีวิตอยู่”
เมื่อเทียบกับมีเดียอื่น ๆ
อะไรคือเสน่ห์ของหนังสือ
―
“เมื่อก่อนเราชอบตอบว่าอ่านหนังสือทำให้เรามีสมาธิ แต่ ณ วันนี้, ไม่! (หัวเราะ)
เรามองว่าหนังสือมี Politics (แง่มุมทางการเมือง/อำนาจ) ของมันเอง และมันมีท่าทีบางอย่างต่อเราที่เรียนนิเทศฯ มา
‘มีเดีย’ ทำงานกับความฉับพลันทันใดของเวลา มันจำเป็นต้องเร็ว กระชับ รุนแรง ชัดเจน มันทำงานกับผัสสะทางตามาก ๆ เวลาเสพ แล้วเราที่เป็นคนมีอคติมาก ๆ ไม่ค่อยเชื่อตาตัวเองเท่าไหร่ (หัวเราะ) เรารู้ว่าตาของเราไม่ค่อยเสถียร
แต่กับหนังสือ มันแตกต่างออกไป เราเลือกได้ว่าจะอ่านแค่ไหน ด้วยความเร็วเท่าไหร่ ผิดกับ ‘มีเดีย’ ที่มี Timeframe แน่นอน ‘เธอจะอยู่กับฉันได้แค่นี้ ไม่งั้นเธอต้องดูใหม่’
เวลาอ่านหนังสือ เราไม่สนเวลาขนาดนั้น มันไม่กำหนดว่าเราต้องอ่านให้เสร็จช่วงเวลานี้เพื่อจะไปต่อ มันไม่สนใจเราขนาดนั้น เหมือนมันมีอยู่เพื่อให้เราระลึกว่า ‘มึงอยากจะใช้เวลากับกูเท่าไหร่ก็ใช้ไป’ มันทำให้เราค้นพบว่า เวลาที่เราอยู่กับสิ่งที่เราจะทำ-พูด-คิด มันไม่ต้องการเวลาขนาดนี้ พร้อมบอกว่าอยู่กับมันได้
อีกอย่างคือ เราคอนเซอร์เวทีฟมากค่ะ พอมีไฟล์ก็ต้องมีเล่มจริง สุดท้ายแล้วอยากมีมันอยู่ในมือไปเรื่อย ๆ เราชอบกลิ่นกระดาษ ยังอยากได้ยินเสียงกระดาษ”
มิสเลือกหนังสือภาษาอังกฤษมา 2 เล่ม
เลือกภาษาไทยมา 1 เล่ม
ถนัดอ่านภาษาอังกฤษมากกว่าหรือเปล่า
―
“จริง ๆ เราอยากอ่านภาษาไทยมากกว่าค่ะ มันง่ายกับเรามากกว่า เราเติบโตมากับภาษาไทย แต่เราคิดว่ามันจำเป็นที่จะต้องอ่านภาษาแรกของหนังสือ เพราะมันเป็นความคิดออริจินัลของนักเขียน
สำหรับเรา การแปลมันก็เวิร์กของมันนะ แต่บางครั้ง เราอยากรู้ด้วย ว่าทำไมเขาถึงใช้คำคำนี้ เราเป็นนักเขียน เรารู้ว่ามันมี Politics ของการใช้คำอยู่ในการเขียนเสมอ
แต่เราก็ไม่ได้มีความสามารถอ่านได้ทุกภาษาบนโลก” (หัวเราะ)
หมายความว่าถ้ารู้ภาษาต้นฉบับ
ก็จะเลือกอ่านก่อนเสมอ
―
“เสมอค่ะ”
อ่านความตาย
―
ถึงช่วงที่ทุกคน (และเรา) รอคอย ช่วงที่เธอจะพูดถึงหนังสือที่เธอเลือกมาทั้ง 3 เล่ม ตลอดเวลาที่คุยกัน เธอถือมันไว้กับตัว ยั่วให้เราอยากรู้และถามถึงตลอดเวลา
เราสปอยล์ก่อนเลยว่า หนังสือที่เธอเลือกมาไม่ใช่เล่มที่อ่านง่ายที่สุด ไม่ใช่เล่มที่น่าอภิรมย์สำหรับทุกคน และแน่นอน ไม่ใช่เล่มที่ทุกคน ‘ต้อง’ อ่าน (แม้ว่าควรอ่านสักครั้ง) ผิดกับสิ่งที่เธอกำลังจะพูดให้เราฟัง
มุมมองของเธอต่อหนังสือเหล่านี้ไม่เหมือนใคร! ในแง่ที่ว่าเธอถอดไวยากรณ์ของมันออกมาได้หมดจด จนเธอเห็นในสิ่งที่น้อยคนจะเห็น อันนำไปสู่การปรับใช้ในผลงานและในชีวิตของเธอตามลำดับ
เล่าให้ฟังคร่าว ๆ หน่อยครับ
ว่าทั้งสามเล่มมีทีท่ายังไง
―
“ทั้งสามเล่มพูดเรื่องความตายค่ะ
ขอบ่นก่อนว่าโจทย์ยากคือให้เลือกแค่สามเล่ม (หัวเราะ) เพราะหนังสือที่ชอบเปลี่ยนไปตามช่วงเวลาของชีวิต
ตั้งแต่ 2016 เราเล่าเรื่องส่วนตัวในการแสดงมาตลอด เราเลยสนใจประเด็นเฟมินิสม์ตั้งแต่ 1960 เป็นต้นมา ประกอบกับว่าช่วงนี้สนใจความตาย ตั้งแต่แม่ตาย เราก็อยากรู้ว่าประเด็นนี้ทำงานกับเรายังไง
เล่มที่เลือกมาจึงเป็นหนังสือที่ศิลปินพูดถึงความตายในแบบของตัวเองด้วยภาษาที่ดิบมาก
ภาษาที่พวกเขาเขียนจะใช้หลักภาษาที่ไม่ค่อยสละสลวยตามความคุ้นชินของการเขียนวรรณกรรมปรกติ อาจจะมีคนมองว่ามันสวยงาม แต่ไม่ได้น้อมรับความสวยงามทางภาษาแบบที่คอนเซอร์เวทีฟมอบให้
แล้วก็เหมือนกับที่คนอื่น ๆ บอกไว้ ว่าการอ่านเกี่ยวกับความตาย ทำให้เรากลับไปตระหนักว่า ชั่วชีวิตนี้เราต้องทำอะไรเพื่อไปสู่จุดนั้น
นี่เป็นเหตุผลที่เราชอบ 3 เล่มนี้ค่ะ”
“เราสนใจการเล่าเรื่องด้วยความงามแบบนี้เหมือนกัน ช่วงนี้สนใจเล่าเรื่องตัวเองที่สุข-ทุกข์สุดขีดของตัวเอง แก๊งแอกติวิสต์ชอบเรียกว่า Radical Joy กับ Beautiful Sadness คือสุขให้ล้นทะลักกับเศร้าให้งดงาม สุข-ทุกข์ประเภทนี้ เป็นสิ่งที่โลกใบนี้พยายามจะไม่ให้เราทำ เราเลยทำให้แม่งดูไปเลย” เธอเสริม
แล้วสำหรับมิส
ความตายคืออะไร
―
“เราเป็นคนเมืองพุทธ เราถูกสอนมาว่าความตายเป็นเรื่องน่ากลัว เราทุกคนต้องตายและต้องใช้ชีวิตให้คุ้มที่สุด แต่เรากลับคิดว่าความตายเป็น Political Statement (คำประกาศทางการเมือง) อย่างที่สุด มันเป็นพื้นที่ที่เราไม่รู้ว่าคืออะไร เราเลยอยากสำรวจความไม่รู้นั้น อยากสนุกกับมันไปเรื่อย ๆ
เดี๋ยวนี้ เควียร์พูดถึง Positive Death (การพูดเรื่องความตายในแง่ดี) กันมาบ้างแล้ว เพราะความตายเป็นศัตรูของปิตาธิปไตย มันเป็นพื้นที่ที่ไม่มีใครมีอำนาจ เพราะไม่มีใครรู้ว่าความตายคืออะไรจริง ๆ ทุกครั้งที่คนเขียนเรื่องความตาย มันจึงเป็น Liberation (การปลดปล่อยให้เป็นอิสระ) เป็นยูโทเปียของเควียร์กับเฟมินิสต์ด้วยประมาณหนึ่ง”
น่าสนใจครับ
งั้นเล่าถึงเล่มแรกให้ฟังหน่อย
―
“เราได้อ่าน ผุดเกิดมาลาร่ำ ตั้งแต่มันเป็นหนังสือนิทรรศการศิลปะที่มีอาร์ตเยอะ ๆ แต่ว่าไม่ได้ซื้อเก็บไว้ พอเขาพิมพ์ก็เลยไปซื้อมาอ่านและรักมันมาก
เล่มแรกคือ ผุดเกิดมาลาร่ำ ของอารยา ราษฎร์จำเริญสุข
เราชอบผลงานของเขาเป็นทุนเดิม ตอนนั้น เราต้องอ่านวรรณคดีไทยเพื่อไปสอบ แล้วจู่ ๆ ก็มีคนถามว่า รู้ไหมว่ามีคนเคยอ่านอิเหนาให้ศพฟัง เราก็สงสัยว่าใครและคุณต้องการอะไรจากดิฉัน (หัวเราะ) พอไปเสิร์ชดู เราถึงได้เลยรู้จักศิลปินคนนี้ และว้าวกับงานที่เขาทำมาก ๆ อย่างตอนที่แกแกล้งท้องไปสอนหนังสือ เราก็ชอบ
ปรกติแล้ว เราจะคุ้นชินกับการสร้างงานศิลปะ ที่ติดอยู่ในบรรทัดฐานบางอย่าง เราจะรับรู้ว่ามันคือการเพอร์ฟอร์ม แต่งานนี้ (แกล้งท้องไปสอนหนังสือ) มันทำลายพื้นที่ระหว่างผู้ชมกับศิลปิน”
ขยายความหน่อยสิ
ว่าเป็นยังไง
―
“มันเล่าถึงชีวิตของผู้หญิงสามช่วงอายุ ‘เด็กหญิง-หญิงสาว-ผู้หญิง’ ของผู้หญิงคนหนึ่ง แต่มันเล่าได้น่าอัศจรรย์มาก ราวกับว่าเป็นเรื่องอะไรหรือของใครก็ได้ ประหนึ่งว่านี่ไม่ใช่เรื่องของนักเขียน เราสนใจสิ่งนี้มาก มันทำให้เราค้นพบภาวะหมิ่นเหม่ของการเล่าเรื่องตัวเองและการเขียนฟิกชั่น ที่เส้นแบ่งของเหตุการณ์ต่าง ๆ หายไป
และในตอนท้าย มันก็พูดถึงความตายได้สะพรั่งมาก ถึงจุดที่เราต้องถามตัวเองว่า คนเราจะพูดถึงความตายได้หน้าตาเฉยขนาดนั้นเลยหรือ มันไม่มีท่าทีประนีประนอมต่อความตายเลย
อีกอย่างที่ทำให้ชอบเล่มนี้ก็คือภาษา ภาษาเหมือนคนปรกติมาก ไม่ได้บอกว่าเล่มอื่นผิดปรกตินะ (หัวเราะ) แต่งานนี้มันไม่เหมือนคนเขียนหนังสือทั่วไป เป็นวรรณศิลป์ที่เห็นได้ไม่บ่อยในงานวรรณกรรม เหมือนเป็นบันทึกที่อาร์ติสเขียนให้เราอ่าน
เราเลยรู้สึกว่ามันจริงใจไปหมดเลยโว้ย! ชอบมากขนาดที่นึกได้ทันทีว่าเล่มไหนเป็นเล่มโปรดตอนได้รับคำถาม”
เล่มที่สองล่ะครับ
อยากเล่าเล่มไหนให้เราฟัง
―
“เล่มของซีโมน เดอ โบวัวร์ (Simone de Beauvoir) ค่ะ ช่วงหลังโควิดมานี้ เราอินเฟมินิสม์มาก ถึงขั้นต้องไปดูสุสานเขาที่ปารีสเลย เราชอบซีโมน ชอบฟิกชั่นทุกเรื่องของเขาเลย เล่มที่เราชอบมาก่อนเล่มเฟมินิสต์ดัง ๆ ของเขาอย่าง The Second Sex อีก
A Very Easy Death เป็นอัตชีวประวัติวินาทีสุดท้ายที่ซีโมนได้อยู่กับแม่ เรารู้สึกว่าเขากำลังจะพูดถึงอะไรบางอย่างภายใต้สังคมที่ไม่เอื้อให้พูดได้เต็มที่ เราสัมผัสได้ถึงความโกรธเล็ก ๆ ในคำและในเรื่องเล่า
เราซื้อเล่มนี้มาอ่านตอนที่แม่เพิ่งตาย ตอนอยากเสพเรื่องที่เกี่ยวกับแม่ตายไปเรื่อย ๆ ดูหนังที่แม่ตาย ดูซีรีส์ที่แม่ตาย อ่านหนังสือที่แม่ตาย
เราเสิร์ชอย่างโง่ใน Google เลยว่า ‘a novel about my mother dies’ แล้วเล่มนี้ก็ขึ้นมา พอเห็นชื่อนักเขียนก็สั่งเลย ลองอ่านหน่อยว่าซีโมนจะเขียนอะไร”
ความน่าสนใจของเล่มนี้
อยู่ตรงไหน
―
“เราสนใจการดีลกับความเจ็บปวดของซีโมน เขาเล่าว่าแม่ตายยังไง ช่วงเวลาสุดท้ายที่อยู่กับแม่เป็นยังไง เล่าประหนึ่งว่ามันเป็นจดหมาย
เราเรียนรู้จากหนังสือเล่มนี้ว่า ความตายเป็นการเมืองมาก ๆ นักเขียนไม่ได้มองความตายเป็นเรื่องความสูญเสียอย่างเดียว เขามองความตายเป็นการเมืองผ่านแว่นของเฟมินิสต์ ซึ่งตรงกับที่เราคิด ตอนแม่เราตาย เราก็ต้องมานั่งวางแผนว่าจะจัดงานศพกี่วัน ทำไมต้องจัดจำนวนวันเท่านี้ ต้องอิงกับหลักศาสนาแบบล้านนาเหนือหรือพุทธกลาง”
การตายของ ‘แม่’
น่าสนใจสำหรับมิสด้วยไหม
―
“ตามหลักจิตวิทยา ‘พ่อสำคัญ’ ทุกคนอิงพ่อเป็นหลัก แต่สำหรับเรา ‘แม่สำคัญ’ ตอนนั้น เราสงสัยว่าทำไมคนรอบตัวถึงไม่คิดสิ่งนี้เหมือนเรา แต่พออ่านเล่มนี้เลยได้ไอเดียว่า คงจะมีแต่พวกเฟมินิสต์นั่นล่ะที่คิดว่า ‘แม่และการตายของแม่สำคัญ’ กับตัวเอง
‘การตายของพ่อก็สำคัญ’ นะคะ แต่ ‘ของแม่สำคัญอย่างมีนัยทางการเมือง’ กับเรามากกว่า”
หลังจากอ่านจบแล้ว
เป็นยังไงบ้าง
―
“A Very Easy Death เป็นงานชิ้นเดียวที่อ่านแล้วไม่ร้องไห้ในช่วงหลังจากที่แม่ตายเดือนแรก ทุกครั้งที่ดูหนังหรืออ่านงานที่เกี่ยวกับการสูญเสียบุพการี มันบังคับให้เรา ‘ต้อง’ ร้องไห้โวยวาย แต่กับเล่มนี้เราเงียบมาก ไม่มีน้ำตา มีแต่ความเงียบ
ในช่วงท้าย ๆ มันเขียนถึงภาวะอารมณ์ที่ซีโมนมีต่อแม่ เขาเขียนได้แน่นิ่งมาก มันเป็นความรู้สึกเดียวกันกับเราตอนที่รู้ว่าแม่ตาย อธิบายใกล้กับสิ่งที่เราเคยเผชิญ
พออ่านจบปุ๊บ เราก็กลับไปค้นของแม่เลย อยากรู้ว่าเขาเดินทางมายังไง และเรารู้สึกยังไงกับมัน”
แล้วเราก็ลากยาวกันมาถึงเล่มสุดท้าย ซึ่งเป็นเล่มที่เลือกยากที่สุดของเธอ เธอเล่าให้ฟังว่า เธอเป็นสาย Stream of Consciousness หรือที่เรียกเป็นภาษาไทยว่า ‘กระแสสำนึก’ ที่ผู้เขียนจะถ่ายทอดความรู้สึกนึกคิดหรือความทรงจำออกมาอย่างเป็นอิสระ ด้วยภาษาที่ไม่จำเป็นต้องสมบูรณ์ตามแบบฉบับ
เธอคิดจะเลือกงานสักชิ้นของเวอร์จิเนีย วูล์ฟ (Virginia Woolf) มาคุยกับเรา แต่จู่ ๆ เธอก็เปลี่ยนใจ
“อะไรดลใจก็ไม่รู้ อาจจะเพราะเพิ่งกลับมาจากสิงคโปร์ เราเพิ่งได้เล่มนี้มาจาก Basheer Graphic Books เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว” เธอโชว์หนังสือปกสีน้ำเงินล้วนให้เราเห็นชัด ๆ และอธิบายเพิ่มเติม “จริง ๆ มันเป็นหนัง ที่อาจารย์เคยเปิดให้ดูตอนเรียน มันเป็นหนังที่เป็นจอสีฟ้าทั้งเรื่อง ชื่อว่า Blue
พอไปเสิร์ชถึงรู้ว่าเป็นหนังของเดเร็ก จาร์แมน (Derek Jarman) นักทำหนังชาวอังกฤษที่เป็นเอดส์เสียชีวิต หนังเรื่องนี้สร้างขึ้นในช่วงสุดท้ายของชีวิต ขณะที่ตาของเขายุติการทำงานไปแล้ว เขาเห็นทุกอย่างเป็นสีฟ้า หนังเลยออกมาเป็นแบบนั้น และมีเท็กซต์ที่เขาพล่ามเกี่ยวกับโลกใบนี้เลื่อนไปเรื่อย ๆ
ตอนแรก หนังเรื่องนี้ไม่ได้มีอิทธิพลอะไรกับชีวิตเราเลย จนกระทั่งได้ไปดูนิทรรศการ ที่เล่าถึงการทำงานของจาร์แมนตั้งแต่เด็กจนโตที่ปารีส”
ทำไมถึงรู้สึกเปลี่ยนไป
หลังจากที่ได้ชมนิทรรศการนั้น
―
“เพราะมันทำให้เราเห็นว่า คนคนหนึ่งกำลังตายลงเรื่อย ๆ มันทำงานกับสภาวะสุดท้ายของจริง และพอเป็นมนุษย์ที่สนใจประเด็นเควียร์ เอดส์ก็ไม่ใช่ประเด็นที่จะละเลยได้
สำหรับเรา งานเควียร์ไม่ได้ทำเพื่อ Celebrate (เฉลิมฉลอง) ความหลากหลายอย่างเดียว แต่เป็นการรำลึกว่าเรามาถึงจุดนี้ได้ยังไง เราสูญเสียกันมาเท่าไหร่ แล้วเดเร็กก็พูดถึงอาการบาดเจ็บได้อย่างงดงาม Blue เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนมากว่า เราจะใช้ตัวเองพูดถึงบาดแผลได้ยังไง
แล้วพอกลับมาอ่านเท็กซต์ที่ซื้ออีกรอบ ก็พบว่ามันกวีมาก มันไม่มีเรื่องหรอก มันแค่เล่าสภาวะที่เขาเห็นทุกอย่างเป็นสีฟ้า และมโนไปว่าสีฟ้านี้นึกถึงสิ่งนั้น สีฟ้านั้นนึกถึงสิ่งนี้ แต่มันเป็นแรงบันดาลใจให้เราทำงานต่อไป”
เอา Blue ไปใช้ทำงานต่อยังไงบ้าง
―
“เวลาที่ต้องเอาบาดแผลตัวเองไปใช้ในงานเราชอบกลับมาดู Blue
เราเล่าเรื่องส่วนตัวก็จริง แต่เราไม่ได้อยากให้คนดูได้อะไรไปจากเราขนาดนั้น เหมือนกับที่เราดู Blue เราไม่ได้หวังจะบรรลุอะไร เราแค่ดูเพื่อจะกลับไปคุยกับตัวเอง
หนังเรื่องนี้ละทิ้งทุกอย่าง ไม่มีภาพ ไม่มีภาษาหนัง มีแค่ภาพสีฟ้าเพื่อให้ระลึกอยู่เสมอว่านี่คือช่วงเวลาที่เขากำลังจะตาย มันบอกเราว่าเรื่องส่วนตัวของเราสำคัญ …ชีวิตของเราสำคัญเสมอ”
นอกจากเรื่องงาน
มิสเก็บเรื่องพวกนี้
มาคิดเกี่ยวกับชีวิตบ้างไหม
―
“ตลอดเวลาค่ะ จริง ๆ เป็นคนที่อยากตาย แต่กลัวตาย
ไม่ได้อยากอยู่ขนาดนั้น ไม่ได้ดูแลตัวเองเป็นอย่างดี แต่ก็ไม่ได้เร่งเร้าให้ตัวเองตาย (หัวเราะ) อาจเป็นความขี้เกียจส่วนตัวด้วย เราไม่ออกกำลังกาย ไม่ได้กินอาหารที่ถูกหลักโภชนาการ
ไม่เคยมองความตายเป็นสิ่งแย่ เวลาไปงานศพก็ไม่ได้ร้องไห้ หมายถึงว่าไม่ร้องไห้ให้คนตาย แต่จะร้องให้กับญาติ ๆ ที่ร้องไห้ให้กับศพอีกที เรามองความตายเป็นเรื่องปรกติก็จริง แต่เห็นคนเศร้าไม่ได้ ถ้าเราช่วยไม่ได้เราก็จะร้องไห้เป็นเพื่อนเขาไปเรื่อย ๆ
ตอนงานศพแม่ เราก็ไม่มีน้ำตาสักหยด แต่ถ้าเห็นคนอื่นร้องไห้ให้แม่เมื่อไหร่ เราก็ไปเมื่อนั้นเลยเหมือนกัน
หนังสือทั้งสามเล่มนี้ทำให้เราได้มองความตายในแบบที่เราอยากมอง มันไม่เคยพูดถึงการทำใจ มันก็แค่ความตาย ตอนเด็ก ๆ เราไม่เคยได้รับอนุญาตให้มองความตายเป็นเรื่องปรกติมาก่อน เราถูกบังคับให้มองเป็นการสูญเสีย เป็นเรื่องที่ต้องทำใจ
มิสยังคิดว่า
การอ่านหนังสือด้วยตัวเอง
จำเป็นอยู่ไหม ฟังสรุปเอาไม่พอหรอ
―
“เราไม่คิดว่าศิลปะมีความหมายเดียว ความสัมพันธ์ระหว่างผู้ชมหรือผู้อ่านกับศิลปะเป็นเรื่องส่วนบุคคล เราเลยไม่เชื่อว่า การฟังประสบการณ์ของคนอื่นจะทำให้เราได้ประสบการณ์แบบเดียวกัน ต่อให้จะเผชิญศิลปะชิ้นเดียวกันก็ตาม
สำหรับเรา หนังสือเป็นอาร์ตที่สร้างพื้นที่ส่วนตัวของเราได้เป็นอย่างดี เราชอบอ่านหนังสือในที่เงียบ ๆ มันเป็นศิลปะไม่กี่อย่างที่เราแบกไปไหนต่อไหนได้ มันไม่สนพื้นที่กับเวลา มันสนแค่ความสัมพันธ์ของเรากับตัวอักษรหรือเนื้อหาในนั้น
ความรวดเร็วของทุนนิยมในปัจจุบันไม่มีผลกับเราค่ะ”
ถ้ามองหนังสือเป็นศิลปะ
มิสช่วยเปรียบเทียบการอ่าน
กับศิลปะการแสดงให้เห็นภาพหน่อย
―
“งานเราส่วนใหญ่ไม่ค่อยเหมือนกับที่ศิลปินละครเวทีคนอื่น ๆ หากพูดถึงละครเวทีที่ทุกคนคุ้นชิน มันต้องมีบท มีนักแสดง มีเรื่องราว แต่เราปฏิเสธที่จะทำแบบนั้นในงานของตัวเอง เพราะคิดว่ามีคนทำมาเยอะแล้ว และทุกคนที่ทำก็ไม่ได้ทำแย่ เราเลยอยากลองอะไรที่แตกต่างบ้าง
ละครของเราไม่เคยสนใจเวลา เวลาเฉลี่ยของงานเราคือ 2 ชั่วโมงขึ้นไป ไม่เคยไวกว่านั้น เราสนใจ Politics ของการใช้เวลาในการดูงานศิลปะและการชมละครมาก ๆ เราไม่เห็นด้วยที่เวลาต้องเป็นกำหนดของบางสิ่งบางอย่าง คนเราควรได้เสพงานภายใต้ช่วงเวลาที่เหมาะสมในแบบของตัวเอง หลายต่อหลายกิจกรรมที่ออกแบบมาให้ใช้เวลาอย่างจำกันเป็นเรื่องและวิธีการทางทุนนิยม
เราได้ไอเดียนี้มาจากการอ่าน ทุกคนควรมี Politics ในการใช้เวลาของตัวเอง เหมือนการอ่านหนังสือที่แต่ละคนจะใช้เวลาไม่เท่ากัน มันสะท้อนให้เห็นว่าเวลาไม่ได้เป็นตัวกำกับการรับรู้ของเรา
เราเลยไม่เคยให้เวลาเป็นตัวกำหนดผลงาน แต่ให้ผลงานเป็นตัวกำหนดเวลาด้วยตัวเอง
แล้วถ้าพูดแบบหลักการมาก ๆ การดูเพอร์ฟอร์มานซ์ก็ไม่ต่างอะไรจากการอ่านเลย เพราะเราไม่อาจนำสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้ามาแทนค่าได้ร้อยเปอร์เซ็นต์
ทุกครั้งที่ผู้ชมเข้ามาดูละคร เขาจะได้รับบางสิ่งบางอย่างกลับไป ที่นอกเหนือจากสิ่งที่ละครกำลังสื่อสาร เขาต้องนำสิ่งที่ได้ดูไปเชื่อมโยงกับปรากฏการณ์ในสังคม ตามประสบการณ์ส่วนตัวของตัวเอง
เรามองว่าสิ่งนี้คือกระบวนการอ่าน เพียงแต่ไม่ใช่การอ่านแบบที่ทุกคนคุ้นชิน”
หลังจากได้สนทนากันเกือบสองชั่วโมงคราวนี้ เรามองสิ่งเดิม ๆ อย่าง ‘ความตาย’ ซึ่งเป็นเรื่องที่เราพยายามไม่แตะต้องทักทาย ต่างไปจากเดิม เราได้ทำความรู้จักกับมันอีกครั้งในมุมมอง ‘ไม่ปรกติ’ จากปากของผู้ที่เห็นมันเป็นเรื่อง ‘ปรกติ’ อย่างที่สุด
หวังว่าคุณจะพบเจอเรื่องระหว่างบรรทัดที่เราไม่ได้เขียน ได้หันไปคุยกับตัวเองถึงหนังสือเล่มโปรด หรืออย่างน้อยที่สุด ก็ได้หนังสือเล่มใหม่ ๆ กลับไปอ่าน
ขอบคุณสถานที่ถ่ายทำ
หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร
เรื่องโดย

ภาพโดย
