บทสนทนานี้ดำเนินภายใต้แสงแดดอุ่น ซึ่งส่องบางเบาเล็ดลอดผ่านชั้นหนังสือไม้สูงจรดเพดาน ณ ห้องสมุดประจำหอศิลปกรุงเทพฯ แม้มีเสียงพลิกหน้ากระดาษเป็นระยะ แต่บรรยากาศยังคงเงียบสงัด ราวกับทำหน้าที่เป็นฉากหลังให้ถ้อยคำแต่ละคำกระจ่างชัดยิ่งขึ้น
“เรารู้สึกเหมือนหนังสือยืนยันให้ ลาออก”
หนึ่งประโยคจากปาก ‘คุณเวลา อมตธรรมชาติ’ ผู้ก่อตั้งมูลนิธิประยูรเพื่อศิลปะและผู้อำนวยการเทศกาล Loei Art Fes เอ่ยขึ้น ขณะย้อนนึกถึงหนังสือเล่มเก่าที่เป็นดั่งคู่หูชั่วชีวิต ประโยคนั้นไม่เพียงสะท้อนความผูกพัน หากยังเรียบเรียงเรื่องราวเมื่อครั้งวันวานให้พรั่งพรูออกมา เผยให้เห็นเส้นทางที่ค่อย ๆ ก่อร่างจนกลายเป็น ‘เวลา’ อย่างที่เราได้พบในวันนี้
ถ้อยคำถัดจากนี้ไม่มีสูตรสำเร็จให้ทำตาม ไม่มีคำหวานหว่านล้อมให้หลงเชื่อ หากแต่อยากลองมาเล่าสู่กันฟัง ด้วยหวังอยู่ลึก ๆ ว่าอาจช่วยเติมพลังใจให้คุณ ได้ลองฝันใฝ่และกล้าสุดใจทำมันให้เป็นจริง… เช่นเขา
ก่อนเวลาจะเริ่มเดิน
―
ชีวิตวัยทำงานของ ‘เวลา’ เริ่มต้นเช่นคนทั่วไป ดำรงอาชีพด้วยการงานมั่นคง ทว่าเบื้องลึกในใจกลับยังถวิลหา ชิ้นส่วนบางอย่างที่หล่นหายไประหว่างทางการเติบโต
“เรารักศิลปะมาตั้งแต่เด็ก แล้วก็ยังคงฝันว่าวันหนึ่งอยากทำงานด้านศิลปะอยู่ แต่สังคมในตอนนั้นไม่มีคำตอบอะไรให้เราได้เลย ไม่มีใครรู้ว่าเส้นทางนี้เริ่มต้นจากตรงไหน ไม่มีแบบอย่างให้เห็นจากคนใกล้ตัว แถมเราเองก็เป็นลูกคนเดียว ครอบครัวคาดหวังให้เราต้องหาเงินได้เยอะ ๆ เพื่อมาจุนเจือ เลยยังไม่กล้าพอที่จะออกไปทำตามใจ”
เช่นเดียวกับคำร่ำลือหนาหู งานด้านมาร์เก็ตติงนับเป็นเส้นทางมหาโหดอยู่ไม่น้อย คุณเวลาเล่าว่าเมื่อถึงจุด ๆ หนึ่งในชีวิต แรงใจที่เต็มเปี่ยมหดถอยไม่เหลือชิ้นดี เขาตัดสินใจเด็ดขาดยื่นใบลาออกล่วงหน้า 1 ปี พร้อมกฎประจำใจว่าหากระหว่างนี้ไฟกล้ามอดไปจะยอมรับแต่โดยดี แม้จะได้ทำตามใจหวัง แต่ผลตอบรับจากครอบครัวนั้นตรงกันข้าม บางถ้อยคำแสดงความเป็นห่วง บางคำถามแค่ร่วมวงติเตียน กระทั่งวันที่ใบลาออกเริ่มทำงาน เขาก็ได้รับหนังสือเล่มบางจากใครคนหนึ่งเป็นของอำลา ใครเล่าจะรู้ว่าเล่มนั้นจะกลายเป็นส่วนสำคัญของชีวิตไปตลอดกาล
“หนังสือที่ได้มาเป็นของพอล อาร์เดน (Paul Arden) ชื่อ ‘Whatever You Think, Think the Opposite’ พูดถึงการตัดสินใจแย่ ๆ การเสี่ยงทำอะไรบ้า ๆ เพื่อสร้างความเป็นไปได้ใหม่ ๆ มียกเคสของคนแนวหน้าในวงการครีเอทีฟที่ประสบความสำเร็จ รวมถึงประสบการณ์ของพอลเองด้วย มันน่ารักตรงที่เขาไม่ได้บอกว่าทุกประโยคที่เขาใช้จะทำให้เราสำเร็จตาม มันจะใช้ไม่ได้เยอะมาก แต่ถ้าเมื่อไรที่คุณเจอสิ่งนั้นแล้วโลกจะจำคุณ จะว่าก็ว่าเถอะ เรารู้สึกเหมือนหนังสือยืนยันให้ลาออก”
ช่วงเวลาล่าฝัน
―
ระหว่างชีวิตกำลังก้าวสู่เส้นทางใหม่ หนังสืออีกเล่มก็โผล่หน้ามาทักทาย หลังจากได้รู้จักเล่มแรกเล่มถัดมาก็ใช้เวลาไม่นานนัก ‘It’s Not How Good You Are, It’s How Good You Want to Be’ ยังคงเป็นอีกเล่มที่เขียนโดยพอล อาร์เดน คุณเวลาบอกกับเราว่า
“ต้องบอกว่าในยุค ’80s เขาเป็นคนนำเทรนด์ในวงการเลยนะ คลังประสบการณ์ต่าง ๆ ที่อัดแน่นในหนังสือทำให้เราอินตามได้ง่าย ๆ ยิ่งอ่านยิ่งรู้สึกได้ว่าทั้งสองเล่มสื่อสารคำเดิมกับเรา คือเมื่อเราย่ำอยู่ที่เดิมไม่ได้เห็นโลกมากขึ้น ก็ให้ตัดสินใจออกมาหาเถอะ อย่าเสียเวลาอยู่อีกเลย ซึ่งไม่ได้ใช้แค่ในการทำงานได้อย่างเดียว เรายังตั้งใจเอาไปใช้ในชีวิตส่วนอื่น ๆ อีกด้วย”
Photo Credit: phaidon.com
แม้สั่งสมความกล้าหาญไว้เต็มอก แต่ก้าวเดินกลับชะงัก ด้วยโลกความเป็นจริงไม่เป็นดั่งใจสั่ง ความฝันถูกกัดเซาะให้เล็กลงถนัดตา การเริ่มต้นใหม่ไม่เคยง่ายสำหรับใคร โดยเฉพาะกับคนที่ไร้ซึ่งประสบการณ์ด้านศิลปะโดยสิ้นเชิง เขาจึงออกขวนขวายหาหนทางเรียนรู้ใหม่ เริ่มจากหว่านเรซูเม่ไปบ้านศิลปินหลายแห่ง หย่อนไปยังสตูดิโอศิลปะทั่วทุกหน หากแต่ยังไม่ถูกตอบรับจากที่แห่งใด
“เราคิดว่าเอาเองว่าเขาอาจจะกลัวเสียเวลาที่ต้องคอยมาช่วยสอน มีศิลปินท่านหนึ่งบอกกับเราว่าจะ 30 แล้วทำไมตัดสินใจแบบนี้ด้วยซ้ำ เราเลยว่างยาวไปเลยปีหนึ่งเต็ม ๆ สุดท้ายตัดสินใจเรียนต่อ ป.โท ที่นิเทศฯ จุฬาฯ และเราก็ได้รับการติดต่อกลับมาจากคุณพิเชษฐ กลั่นชื่น เพราะครั้งหนึ่งเคยได้ไปเล่าสิ่งที่เราอยากทำให้แกฟัง มันเลยเป็นก้าวแรกในวงการศิลปะของเรา”
คุณเวลาเล่าต่อว่า เมื่อได้ก้าวเข้ามาทำสิ่งที่เฝ้าฝันมายาวนาน ก็ยิ่งมั่นใจว่านี่แหละคือศิลปะในแบบที่ตามหา แม้งานทั้งสองแขนงจะล้วนรังสรรค์ภายใต้ความต้องการของใครบางคน ทว่าศิลปะกลับดำรงอยู่เพื่อคุณค่าที่ลึกซึ้งกว่า อาจไม่ใช่เพื่อผลักดันให้ใครสักคนโด่งดัง หากแต่เพื่อสร้างคุณค่าในเชิงวัฒนธรรม และบันทึกเรื่องราวที่หลอมรวมอยู่ในประวัติศาสตร์ของผู้คน
ช่วงเวลาที่ฝันเป็นจริง
―
หนังสือทั้งสองเล่มยังคงวนเวียนอยู่ใกล้ตัวเขาไม่ห่าง หากสรุปสั้น ๆ เล่มแรกคือการชักชวนให้คิดต่าง ลองหันหลังให้ความคิดแบบเดิม ๆ แล้วกล้าศรัทธาในอีกสิ่งที่ตรงข้าม ส่วนเล่มถัดมาพาให้มองข้ามคำตอบที่อยู่ตรงหน้า และท้าทายให้กล้าคิดค้นสิ่งใหม่
“อีกเล่มที่เราอ่านของพอล อาร์เดนคือ God Explained in a Taxi Ride เล่มนั้นต้องบอกว่ามันทำงานช้ามาก ด้วยความที่เขาพูดถึงพระเจ้า ซึ่งสำหรับเราที่อยู่กับสิ่งที่จับต้องได้ตลอดเวลาเลยไม่ค่อยคอนเน็กต์สักเท่าไร แต่ยิ่งอ่านก็ยิ่งพาเราไปทำความเข้าใจกับความเชื่อของคนในมุมมองใหม่ ทำให้เรามองศาสนาไปอีกแบบ ไม่ใช่แบบที่โบสถ์พูดหรือที่วัดสอน”
Photo Credit: goodreads.com
เมื่อมองย้อนกลับไป หนังสือทั้งสามเล่มไม่เพียงแต่หล่อหลอมความคิด หากยังค่อย ๆ ก่อร่างวิถีชีวิตและการทำงานของเขา จนในที่สุดก็บรรจบกันเป็นแรงผลักดันให้ก่อเกิด ‘มูลนิธิประยูรเพื่อศิลปะ’ ขึ้น
“เราไม่เห็นลำดับการเติบโตในอาชีพที่ชัดเจน และแทบไม่เห็นว่าศิลปะถูกนำไปใช้เพื่อประโยชน์ในด้านต่าง ๆ อย่างเป็นรูปธรรม ต่างจากเมืองนอกที่ศิลปะถูกนำไปช่วยเด็กที่เรียนหนังสือไม่เข้าใจ ช่วยเมืองที่เศรษฐกิจอาจล่มสลาย หรือช่วยให้คนในชุมชนที่ขัดแย้งเพราะความเชื่อต่างกันเข้าใจกันมากขึ้น ในประเทศเราแทบไม่เห็นฟังก์ชันเหล่านี้เกิดขึ้นอย่างเป็นกิจจะลักษณะ
สิ่งเหล่านี้เองที่เป็นแรงผลักดันให้เรากระโดดออกมาทำบางอย่าง เพื่อเป็นอีกกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนวงการศิลปะต่อไป”
ในวันที่เวลาหวนรำลึก
―
เช่นเดียวกับเราทุกคน เมื่อได้กลับไปอ่านเล่มนั้นที่โปรดปรานมักมีบางอย่างต่างออกไป ในครั้งนี้คุณเวลาก็รู้สึกเช่นเดียวกัน
“มันเหมือนเป็นการรีไมนด์ตัวเองว่า เส้นทางที่เราเลือกเดิน มันก็น่าจะใช่แล้วแหละ เพราะจริง ๆ เราก็ลืมไปแล้วว่าหนังสือเล่มนั้นเขียนอะไรไว้บ้าง แต่พอกลับมาอ่านอีกครั้ง ก็เห็นว่าชีวิตเรามันดำเนินมาในทิศทางเดียวกับที่หนังสือพูดถึงอยู่โดยไม่รู้ตัว
Photo Credit: welearnbook.com
ในเล่ม Whatever You Think, Think the Opposite มีบทหนึ่งที่ทำให้เราสะดุดใจ เขาบอกว่า ‘ถ้าคุณไปคุยกับคนเก่ง ๆ บนโลกใบนี้ คุณจะสังเกตได้ว่า พวกเขาอาจจะรู้เรื่องไม่กี่เรื่อง แต่เรื่องที่เขารู้… เขารู้ลึกมาก’ ประโยคนี้สะท้อนตัวเราเหมือนกัน เพราะตลอดชีวิต เราอ่านหนังสือเพียงไม่กี่เล่ม แต่กลับนำสิ่งที่ได้มาใช้จริง ๆ และงานที่เราทำก็ไม่ใช่ว่าเยอะหลายอย่าง แต่กลับหมุนวนอยู่กับซับเจกต์ไม่กี่เรื่อง โฟกัสอยู่ไม่กี่ประเด็น เพียงแต่ทำอย่างต่อเนื่องและลึกขึ้นเรื่อย ๆ”
หนังสือของเวลาในอนาคต
―
แม้ออกตัวกับเราหลายครั้งว่าไม่ใช่นักอ่านมือฉมัง แต่คุณเวลายืนยันว่าการได้เห็นความหลากหลายของโลกผ่านหนังสือ ช่วยให้เข้าใจมุมมองและความเป็นไปได้ของชีวิตมากขึ้น ทำให้เรามีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ง่ายขึ้น ครั้นถามถึงเล่มถัดไปที่อยากอ่านจึงมีคำตอบในทันที
“เราอยากอ่าน ‘What Does It All Mean’ ว่ากันว่าวิทยาศาสตร์คือสิ่งที่มนุษย์เข้าใจแล้ว แต่ปรัชญาเป็นคำอธิบายของสิ่งที่มนุษย์ยังไม่เข้าใจ เราจึงสนใจเล่มนี้เป็นพิเศษ ปรัชญามีหลายยุคหลายสมัย และมีแนวคิดมากมายจนแทบจำไม่หมด เราจึงอยากเข้าใจคอนเซปต์และความเชื่อที่ซ่อนอยู่ในแต่ละยุค ว่ามันแปรเปลี่ยนไปตามบริบทสังคมอย่างไร เกิดปรากฏการณ์อะไรขึ้นบ้างที่ทำให้เกิดความเชื่อนั้น และความคิดเหล่านั้นได้ขับเคลื่อนโลกให้หมุนไปยังไง ซึ่งเราหวังว่าสิ่งนี้จะเป็นประโยชน์ต่อการทำงานในอนาคต”
หลังจากบทสนทนานี้จบลง คุณเวลายังคงเดินทางต่อ ภายใต้กลไกของเวลาที่ยังคงเดินต่ออย่างสม่ำเสมอเช่นกัน หากตอนนี้คุณยังลังเล ลองเริ่มจากการก้าวทีละน้อยในจังหวะของตัวเอง ระหว่างทางอาจแวะหยิบหนังสือสักเล่มที่ช่วยเติมไฟให้ฝัน ให้สุกสว่างโชติช่วงจนกระทั่งถึงปลายทาง
แล้วมาเล่าให้เราฟังได้นะ ว่าหนังสือเล่มนั้นวาดฝันของคุณว่ายังไง
ขอบคุณสถานที่ถ่ายทำ
ห้องสมุดศิลปะ หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร
เรื่องโดย

ภาพโดย
