Kind People

อ่านตัวตน ‘คิม—อดุลญา’ ผ่าน 3 เล่มโปรด +1 เล่มในทรงจำ จากหลากช่วงชีวิต

เราอาจรู้จักใครคนหนึ่งผ่านงานของเขา
แต่จะรู้จักเขาจริง ๆ ได้… จากสิ่งที่เขา ‘อ่าน’

หากใครเห็นด้วยกับประโยคข้างต้นนี้ เราอยากเชื้อเชิญมาร่วมวงสนทนาไปกับ Books to You’ ซีรีส์บทสัมภาษณ์ที่ไม่เน้นคุยจริงจังเรื่องงาน แต่เล่าเบื้องหลังผ่าน ‘หนังสือเล่มโปรด’ ให้เห็นถึงตัวตน ความรู้สึกนึกคิด หรือชีวิตอีกด้านที่อาจไม่เคยพูดถึง เพราะหนังสือบนชั้นของคุณมักมีร่องรอยบางอย่างที่บอกเล่าอีกมุมหนึ่งของชีวิต

หนนี้เราเดินทางมาถึง EP05 ซึ่งยังคงอยู่ในหมวด ‘Aritivist’ (Art + Activism) ตามล่าหาหนังสือเล่มโปรดของนักเคลื่อนไหวในแวดวงศิลปะ และแน่นอนว่า ‘เธอ’ คนนี้ คนที่เรากำลังจะไปพูดคุยด้วยเหมาะสมด้วยประการทั้งปวง!

บ่ายสามโมงตรง, ณ หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร

วันนี้เรามีนัดกับ ‘คิม—อดุลญา ฮุนตระกูล’ หลายคนคงรู้จักเธอดีในฐานะผู้อำนวยการหอศิลปกรุงเทพฯ คนปัจจุบัน แต่วันนี้เราชวนมารู้จักเธอในฐานะนักอ่าน (ที่เธอออกตัวก่อนเลยว่าเธอไม่ได้อ่านหนังสือเยอะมากนะ) มารื้อชั้นหนังสือในความทรงจำของเธอกับ 3 เล่มโปรดกับอีก 1 เล่มในทรงจำจากหลากช่วงวัย ตั้งแต่ วัยเยาว์—การ์ตูนขายหัวเราะและมหาสนุก / วัยเรียน—Ways of Seeing โดย John Berger / วัยทำงาน (ที่ยังคงเรียนไปด้วย)—I Am An Artist (He Said) โดย อารยา ราษฎร์จำเริญสุข และ Curatorial Activism: Towards an Ethics of Curating โดย Maura Reilly

01
ปฐมบทการอ่าน

เอาจริง ๆ เรารู้จัก คิม—อดุลญา ทั้งผ่านสื่อและตัวจริงมาบ้างพอสมควร ตั้งแต่ช่วงแรก ๆ ที่เธอเข้ามารับตำแหน่ง ผอ. คนใหม่ของ BACC เรารู้ว่าเธอเติบโตที่ต่างประเทศและเรียนจบปริญญาตรีด้าน Art History and Music พร้อมปริญญาระดับถัด ๆ มาอีกสองใบ แน่นอนว่ารอบตัวเธอล้วนเต็มไปด้วยงานศิลปะหลากสไตล์หลายแขนง แล้วหนังสือบนชั้นของเธอจะเป็นสไตล์เดียวกันหรือเปล่า เราขอชวนคุณไปหาคำตอบ…

ปกติชอบอ่านหนังสือประเภทไหน

“ปกติจะอ่านหนังสือเพื่อเรียนและทำงาน แล้วการที่เราเรียนประวัติศาสตร์ศิลปะ มันต้องอ่านเยอะมาก หนังสือที่อ่านจะเป็นทฤษฎีศิลป์ ประวัติศาสตร์ศิลป์ ชีวิตศิลปิน อะไรประมาณนี้ ตอนเรียนก็อ่านตาม Assignment ไม่ได้เป็นเด็กเรียนที่ต้องอ่านหนังสือตลอดเวลาขนาดนั้น ซึ่งช่วง 2-3 ปีนี้เอง เพิ่งเริ่มหยิบหนังสือพวกนวนิยายมาอ่านเพื่อความสุนทรี เพราะปกติเวลาอยากเอนเตอร์เทนตัวเอง ก็จะเลือกดูหนัง ดูซีรีส์ เราชอบความที่มัน Visualised มาให้แล้ว เพราะการอ่านหนังสือมันต้องใช้สมองหลายซีก เอเนอจีของการอ่านหนังสือเราเลยแบ่งไปให้การทำงานซะมากกว่า”

ที่ว่าเพิ่งหยิบพวกนวนิยายมาอ่าน
ช่วงนี้มีติดอ่านเล่มไหนเป็นพิเศษไหม

“ช่วงนี้ก็ไม่ได้ติดเล่มไหนเป็นพิเศษ แต่เล่มล่าสุดที่อ่านเป็นเรื่องแนวแฟนตาซีหน่อย เกี่ยวกับนักศึกษาปริญญาโทกับปริญญาเอกที่อยู่ในมหาลัยที่สอนเกี่ยวกับทฤษฎีเวทมนตร์ แต่ไม่ใช่แม่มดนะ แล้วซูเปอร์ไวเซอร์ดันตกนรก สองคนนี้เลยต้องไปกู้เขากลับมาไม่งั้นวิจัยไม่จบ เหมือนไปผจญภัยที่นรก เป็นฟิกชั่นที่รู้สึกว่าตลกดี แต่จำชื่อเรื่องไม่ได้แล้ว (หัวเราะ) ก็จะใช้ช่วงเวลาเดินทาง ขึ้นเครื่องบิน ขึ้นรถไฟนี่แหละอ่านหนังสือ”

แม้ท้ายที่สุดเราจะไม่ได้ถามซ้ำย้ำชัดว่า หนังสือเล่มนั้นชื่ออะไรก็ตามที เพราะเราเองก็อยากปล่อยเป็นปริศนาชวนให้ผู้อ่านสงสัย

*
แต่หากใครอยากรู้จนอดใจไม่ไหวละก็ เราเชื้อเชิญให้อ่านกันยาว ๆ ไปก่อน… แล้วรอติดตามเฉลยท้ายบทความนะ

02
หนังสือสอนภาษาไทยในวัยเยาว์

หนังสือเล่มแรกที่เธอหยิบขึ้นมาเล่าให้ฟัง ชวนแปลกใจและไม่แปลกใจในเวลาเดียวกัน ซึ่งเธอเล่าย้อนกลับไปว่าช่วงที่อ่านหนังสือเล่มนี้คือวัยเด็กโน่นแน่ะ นอกจากจะสนุกแล้ว เล่มนี้ยังสอนภาษาไทยและเชื่อมโยงบริบทในหลายมิติทางสังคม วัฒนธรรม และการเมืองของประเทศไทยให้เธออีกด้วย

ทำไมถึงเป็นการ์ตูน ‘ขายหัวเราะ’
และ ‘มหาสนุก’

“เราไปอยู่ต่างประเทศตั้งแต่เด็ก ๆ เลยไม่เคยได้เรียนภาษาไทย คือพูดได้เข้าใจพอสมควร แต่อ่าน-เขียนไม่เป็น แล้วช่วงปิดเทอมก็จะกลับมาไทย เพื่อนเล่นก็จะมีแต่ญาติ ๆ ทุกคนก็จะอ่านการ์ตูนญี่ปุ่นกันหมด แต่เราว่าภาษามันแอดวานซ์เกินไปสำหรับเรา การ์ตูนที่จะหยิบมาอ่านได้ตอนนั้นคือขายหัวเราะหรือมหาสนุก พอเรารู้ภาษาพอสมควร เราก็พยายามที่จะอ่านมัน

ทุกวันนี้เลยชอบพูดอยู่เสมอว่า ได้เรียนรู้ภาษาไทยมาจากขายหัวเราะกับมหาสนุกนี่แหละ”

นอกจากได้เรียนภาษาไทยแล้ว
ยังได้อะไรอีก

“จำได้ว่ามันเป็นหนังสือที่เข้าหาและเข้าถึงได้ง่าย เป็นการ์ตูนที่พ่อแม่สามารถซื้อให้เราได้ง่าย ๆ โดยไม่ต้องเข้าร้านหนังสือใหญ่ ซื้อได้ตามแผงในตลาด ไม่ใช่แค่เรียนรู้ภาษา เรายังได้เรียนรู้ Humour (ความตลกขบขัน) ของคนไทย ได้เรียนรู้วัฒนธรรมอะไรหลาย ๆ อย่างที่มันแฝงอยู่ในการเล่าเรื่องของการ์ตูนสไตล์นั้น ถือเป็นวิธีที่เราได้คอนเนกต์ตัวเองกับวัฒนธรรมของไทยที่เราไม่ได้ใช้ชีวิตอยู่กับมัน ณ ขณะนั้น”

แล้วถือว่าประสบความสำเร็จไหม
กับการเรียนภาษาไทยจากการ์ตูน

“ก็ไม่นะ ตอนนี้ก็ยังไม่ค่อย (หัวเราะ) คือจริง ๆ แล้ว มันแค่ช่วยให้เราอ่านได้ อ่านคำทั่วไปได้ และก็มันช่วยในการใช้ชีวิตประจำวันได้ เพราะมาใช้ภาษาไทยแบบจริง ๆ จัง ๆ อีกทีก็ทำงานนี่แหละ ช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาก็ต้องเทรนด์ตัวเองมากขึ้น”

เธอบอกว่า หนังสือเล่มนี้ไม่ใช่เล่มโปรดหรือให้แรงบันดาลใจที่สลักสำคัญอะไร แต่ที่เลือกหยิบมาเล่าให้เราฟังวันนี้ เพราะเป็นเล่มที่ทำให้หวนคิดถึงช่วงเวลาหนึ่งของชีวิตและความทรงจำที่ดี เมื่อเด็กหญิงผู้ไม่เคยเรียนภาษาไทย หัดอ่านตัวอักษรจากการ์ตูนเอง

03
หนังสือที่ทำให้มองโลกใหม่ในวัยเรียน

หนังสือเล่มถัดมาเรียกว่าเป็นหนึ่งในหนังสือพื้นฐานที่ทุกคนที่เรียนประวัติศาสตร์ศิลปะต้องอ่านและรู้จักคือ Ways of Seeing (1972) ของ John Berger ภาษาไทยใช้ชื่อว่า ‘มองไม่ได้แปลว่าเห็น’ เธอบอกกับเราว่าเล่มนี้ช่วยเปลี่ยนมุมมองที่มีต่อหนังสือทฤษฎีหนาเตอะและเข้าใจยากให้กลายเป็นสิ่งเข้าใจได้ รวมถึงเปิดมุมมองใหม่ ๆ ให้กับการมองศิลปะ

ทำไมถึงประทับใจเล่มนี้

“ประทับใจหนังสือเล่มนี้ เพราะเป็นครั้งแรกที่ได้อ่านหนังสือเกี่ยวกับทฤษฎีศิลป์ แล้วรู้สึกว่าเข้าหาได้ง่ายมาก แล้ววิธีที่ John Berger เขาอธิบาย มันเป็นวิธีที่เหมือนคุยกันกับเพื่อน ไม่ได้รู้สึกว่าทฤษฎีศิลป์มันไกลเกินเอื้อม มีความเป็นไปได้ เพราะหลายอย่างมันทำให้เราคิดว่าทำไมมันไกลกับชีวิตของเราจังเลย มันไกลจากสิ่งที่เรารู้จักมาก ๆ แต่วิธีที่เขาอธิบาย Ways of Seeing วิธีการมองมันเหมือนฟังดูเป็นอะไรที่เรียบง่ายมาก”

เล่มนี้เขียนขึ้นมาช่วงไหน

“เล่มนี้เขาเขียนขึ้นในยุค 70s คือเก่ามากนะ และไม่ใช่แค่หนังสือ แต่มี Documentary และยังทำเป็น Visual ต่าง ๆ ด้วย เลยชอบที่มันได้เผยแพร่ออกไปกว้างขวาง ถ้าถอดเนื้อหาออกมาจะมองเห็นโครงสร้างที่เขาพยายามอธิบาย เรียกว่าเป็นหนังสือที่เปิดกว้างมาก ๆ เราชอบที่มันไม่ได้เป็นอะไรที่สูงเกินไป มันอธิบายวิธีการมองโลกรอบตัวเราในอีกแบบหนึ่ง

คือเล่มนี้ทุกคนต้องอ่าน ทุกคนต้องรู้จัก เรียกว่าเป็นหนังสือพื้นฐานที่ดีมาก เลยคิดว่ามันสำคัญสำหรับคนที่ทำงานด้านนี้ หรือคนที่เรียนประวัติศาสตร์ศิลป์”

เขียนในยุค ’70s ถ้าอ่านทุกวันนี้
ก็ยังไม่เก่าไปใช่ไหม

“ไม่เลย นี่ถือเป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่เลือกเล่มนี้มา เพราะคิดว่ามันยังไม่ตกยุค ยังคงทันสมัย ด้วยวิธีที่เขาเขียน แล้วอีกอย่างหนึ่งคือชอบการดีไซน์ปกของเขามาก เพราะส่วนใหญ่เรามักจะเปิดผ่านปกไปอ่านหน้าแรกเลย แต่สำหรับเล่มนี้คำแรกของเนื้อหามันเริ่มที่หน้าปก คือต้องเริ่มอ่านจากปกหนังสือก่อน”

04
หนังสือที่ชวนตั้งคำถามในวัยทำงาน (และเรียน)

จากชีวิตในห้องเรียนสู่ชีวิตการทำงาน หนังสือที่คอยขับเคลื่อนความคิดของเธอ ทั้งยังเป็นวิธีการเขียนที่เธอใฝ่ฝันถึงคือ I Am An Artist (He Said) (2022) โดย อารยา ราษฎร์จำเริญสุข หนังสือเชิงสารคดีหรือบันทึกความคิดด้านศิลปะร่วมสมัย ที่เล่าถึงเส้นทางและมุมมองของศิลปินในการนิยามตัวเอง สะท้อนเรื่องราวการต่อสู้กับอัตลักษณ์ศิลปิน และบทบาทของศิลปะในสังคมไทย

เล่าถึงหนังสือเล่มที่สาม
ที่เลือกมาให้ฟังหน่อย

“หนังสือเล่มนี้ ต้องสารภาพก่อนเลยว่า ซื้อมาแล้ววางไว้บนชั้นนานมาก เพราะรู้สึกว่าไม่กล้าอ่าน เพราะมันหนาเหลือเกิน แล้วเราจะเข้าใจไหมนะ คืออาจารย์อารยาเป็นศิลปินที่ทุกคนชื่นชอบ เป็นหนึ่งในศิลปินที่สำคัญมากสำหรับวงการศิลปะร่วมสมัยไทย ซึ่งเล่มนี้เป็นการรวมงานเขียนของท่าน อีกอย่างหนึ่งคือมันแปลมาเป็นภาษาอังกฤษ ซึ่งเป็นภาษาที่เราใช้หาความรู้ ใช้ทำงาน ก็เลยคิดว่าเราจะเข้าใจไหมถ้าเราไม่ได้อ่านภาษาไทย ซึ่งเป็นภาษาแม่ของศิลปิน

เคยไปลองอ่านบทความของอาจารย์อารยาเป็นภาษาไทย แล้วก็คิดว่า… ไม่เข้าใจ ทำไงดี (หัวเราะ) ด้วยความที่ภาษาไทยเราก็แย่อยู่แล้ว เล่มนี้ที่ถูกแปลมาอีกทีก็น่าจะช่วยได้ แต่ก็รู้สึก Intimidated (กลัว/วิตกกังวล) กับมัน จนไม่ได้อ่านมานานมาก กระทั่งต้องมาทำธีสิสปริญญาเอกของตัวเอง เลยต้องกลับมาอ่าน กลายเป็นว่าได้แรงบันดาลใจหลาย ๆ อย่างจากสิ่งที่อาจารย์อารยาเขียน”

คิดว่าอะไรคือเสน่ห์
หรือจุดเด่นของเล่มนี้

“วิธีการเขียนของอาจารย์อารยาทำให้รู้สึกว่า ไม่ใช่เราคนเดียวในโลกนี้ที่ตั้งคำถามแบบนี้ในประโยคเดียวกัน นึกออกไหม คือเวลาเราคิดอย่างหนึ่ง เราก็คิดอีกสี่ห้าอย่างพร้อมกัน แต่ศิลปินท่านนี้สามารถเขียนทั้งสิบอย่างที่เราคิดอยู่ในวินาทีเดียวกันออกมาเป็นบทความได้ เลยแบบรู้สึกว่า อ้อ! เราไม่ได้เป็นคนเดียวในโลกนี้ที่คิดแบบนี้

แต่คน ๆ นี้สามารถเขียนได้ ทำออกมาให้เป็นงานศิลปะ ทำออกมาให้เป็นบทความ ก็เลยรู้สึกว่าหนังสือเล่มนี้สุดยอดจริง ๆ”

มีส่วนไหนในหนังสือ
ที่ชอบเป็นพิเศษไหม

“เนื้อหาของหนังสือคือการตั้งคำถามถึงขอบเขตของความเป็นคน ขอบเขตหน้าที่ในการเป็นศิลปิน หน้าที่ในความเป็นผู้หญิง หน้าที่ในความเป็นผู้สืบทอดประวัติศาสตร์ไทยผ่านความเป็นไทย แค่ในบริบทประโยคสั้น ๆ มันเป็นการพูดถึงอะไรประมาณหนึ่งร้อยอย่าง เราเลยรู้สึกว่าชอบมาก หนึ่งสกิลผู้เขียน สองเนื้อหาที่กำลังพูดถึง โดยรวมแล้วก็คือพูดถึงอิสรภาพในการเป็นศิลปิน”

และเมื่อถามถึงประโยคที่ชอบเป็นพิเศษ เธอเลือกหยิบยกข้อความส่วนหนึ่งในหนังสือจากบท Art: Safe Space (P.193) ที่ว่า

But without inheriting those rebellious genes it would be hard for someone to start acting up, and thus there are still those who admire only old things, whereas those who admire newer things keep pushing further and further in the opposite direction. By the way, did I spell forebears, rak ngao, correctly? Forebear or forbare? Am I rebelling against my linguistic ancestors of Pali and Sanskrit?”

[หนังสือต้นฉบับภาษาไทยเรื่อง ‘(ผม)เป็นศิลปิน’ ของอาจารย์อารยาเขียนไว้ ดังนี้ …แต่ถ้าใครไปเอาอย่างบรรพบุรุษของเขามาจะลุกขึ้นมาขบถก็เลยยาก เพราะไม่มีเชื้อขบถอยู่ในตัว จึงพวกชื่นชอบของเก่าก็ชื่นชมไป พวกชื่นชอบของใหม่ก็ชื่นชมกันให้ยิ่ง ๆ ขึ้นไปอีก แต่ว่าผมเขียนเหง้าถูกหรือเปล่าครับ หรือว่าเง่า เดี๋ยวจะขบถต่อการใช้ภาษาของบรรพบุรุษไทยโดยไม่ได้ตั้งใจ และโดยไม่ได้ไปเอาของใครเขามา ทั้งจากบาลีสันสกฤต? (อารยา ราษฎร์จำเริญสุข, 2548, หน้า 176)]

เล่มสุดท้ายที่เลือกมา
ใช่เล่มที่ปูทางสู่อาชีพปัจจุบันไหม

“เล่มนี้เป็นเล่มที่อ่านตอนเรียนปริญญาโท แล้วรู้สึกว่ามันเป็นหนังสือที่ให้ไดเรกชั่นกับวิธีการทำงานมาก ๆ ตอนที่เรียนปริญญาโท เราตั้งคำถามกับตัวเองว่าเรียนจบอยากทำงานอะไร อยากไปด้านไหน พอมาเจอหนังสือเล่มนี้มันเหมือนเป็นหนังสือที่ช่วยอธิบายวิธีการทำงานของเรา ณ ตอนนั้นนะ ที่ยังไม่รู้ว่ามันคืออะไร แต่เรามีความรู้สึกว่า ศิลปะน่าจะมีส่วนร่วมในการเป็นกระบอกเสียง เป็นพื้นที่สนทนาได้ เป็นพื้นที่ที่กระตุ้นอะไรสักอย่างที่ให้ได้มากกว่าการเป็นแค่พื้นที่จัดวางงานเฉย ๆ มันน่าจะมีวัตถุประสงค์อะไรมากกว่านั้น”

เพียงแค่เห็นชื่อ Curatorial Activism: Towards an Ethics of Curating (2018) โดย Maura Reilly ก็พอจะเดาได้ว่าเกี่ยวข้องกับเส้นทางการทำงานของเธอเป็นแน่ เธอเล่าให้ฟังว่า หนังสือหน้าปกสีแสดแสนจี๊ดจ๊าดเล่มนี้เคยเป็นแรงบันดาลใจสำคัญเมื่อสมัยเรียน ก่อนที่ช่วงหนึ่งเธอจะรู้สึกไม่อินจนวางมันไว้บนชั้น แต่เมื่อไม่นานมานี้ การกลับไปหยิบมาอ่านอีกครั้ง กลับกลายเป็นประสบการณ์ที่ต่างออกไปจากเดิม

เนื้อหาภายในเล่มเล่าถึงอะไรบ้าง

“มันไม่ได้มีปรัชญาอะไรซับซ้อน อ่านปุ๊บจะรู้เลยว่า นิทรรศการจะออกมาเป็นแบบนี้ ถ้าเกิดเราทำตามในสิ่งที่หนังสือพูดถึง ก็เลยมีความรู้สึกว่า เป็นเล่มที่คอนเฟิร์มในสิ่งที่ตัวเองอยากจะทำ แล้วมันมีชื่อ เราเชื่อในพลังของการให้ชื่อกับอะไรบางอย่าง พอรู้ว่าสิ่งที่เราอยากจะทำมันมีชื่อ มันมีไดเรกชั่น มันมีคนที่ทำมาก่อนแล้ว เลยรู้สึกว่าอ้อ… เราอยู่ถูกที่แล้ว”

“สมมติว่ามีโอกาสคิวเรตงานนิทรรศการเกี่ยวกับศิลปินไทยในยุค 90s สมมติรายชื่อศิลปินมา 100% เป็นศิลปินชายหมด สำหรับคิวเรเตอร์ที่เชื่อมั่นใน Curatotial Activism ก็คือต้องแทรกอะไรเข้าไปเพื่อให้มันสร้างความแตกต่าง เราต้องหยุดมองว่า ในรายชื่อนี้ยังไม่มีอะไรบ้าง เราจะเสนอภาพรวมให้กว้างที่สุดได้อย่างไร เราต้องเพิ่มเลเยอร์จะไปเวย์เดียวไม่ได้ ต้องมีหลาย ๆ ประเด็นที่นำเสนอเพื่อให้มีไดอะล็อกมากขึ้น เช่นรายชื่อมีแต่ศิลปินชาย แล้วศิลปินหญิงหายไปไหน ก็ต้องแทรกเข้ามา”

สรุปแล้ว Curatorial Activism คือหนังสือที่ช่วยอธิบายถึงสิ่งที่เธอทำให้มีชื่อเรียกขึ้นมา ทำให้เธอเห็นทิศทางและกรอบการทำงานที่ชัดเจนขึ้น ราวกับได้รับการยืนยันว่า สิ่งที่เธอเชื่อและอยากทำมาตลอดนั้นมีความหมาย และมีที่ทางอยู่จริง

05
ปัจฉิมบทการเรียนรู้

ครบถ้วนกระบวนความกับหนังสือ 4 เล่ม ที่ไม่ได้แค่บอกให้เรารู้ว่าเธอชอบอ่านอะไร แต่ยังทำหน้าที่เหมือนเงาสะท้อนตัวตน และความรู้สึกนึกคิด หนังสือเหล่านี้คือร่องรอยของความทรงจำในแต่ละช่วงวัย พร้อมคำถามที่ย้อนกลับมาท้าทายให้เธอมองเห็นชีวิตการทำงานกับชีวิตส่วนตัวในมิติใหม่

เห็นมุมมองใหม่ ๆ อะไรบ้าง
จากหนังสือที่เลือกมา

“ทำให้เราได้กลับมามองตัวเองเหมือนกันนะ ว่าชีวิตงานกับชีวิตจริงน่าจะแยกกันกว่านี้ ไม่รู้ว่ามันปนกันเกินไปหรือเปล่า เพราะเวลาเราทำงานที่รัก มันเหมือนยูโทเปียเนอะ ว่าถ้าเราทำงานที่เรารักมันจะไม่รู้สึกว่าเราทำงาน แต่ปัญหาคือเวลาที่เรารักอะไร มันจะไม่ค่อยยืดหยุ่น เราจะเสียใจกับมันกว่าที่ควรจะเป็น เพราะว่ามันคือสิ่งที่เรารัก แต่ว่ามันคืองานอะ มันไม่มีอะไรที่ไปตามแผนเวลาทำงาน เพราะเราต้องทำงานกับอีกหลาย ๆ คนที่รักสิ่งนี้อีกแบบหนึ่ง เลยคิดว่าเราควรมีเส้นแบ่งแยกมากกว่านี้หน่อย เพื่อรักษาความรักนั้น”

“ตอนนี้เลยพยายามเปลี่ยนความสัมพันธ์ระหว่างตัวเองกับการอ่านให้กว้างขึ้น ให้มันเป็นพื้นที่พักผ่อน ไม่ใช่พื้นที่ทำงาน เพราะตอนนี้เลยแยกไม่ออกว่าเราอ่านเพื่อหาข้อมูลหรือเราอ่านเพื่อความสุขกันแน่”

ทั้งหมดทั้งมวล คิดว่า
‘การอ่าน’ สำคัญไหม

“สำคัญ แต่คิดว่าหลายคนเขาอาจจะไม่สามารถเข้าถึงได้นะ

การอ่านจริง ๆ มันเป็นพรีวิลเลจอย่างหนึ่งเลย ที่ทุกคนเข้าถึงได้ไม่กว้างเท่ากับมีเดียอื่น ๆ ถ้าเทียบกัน ณ ตอนนี้ จากการที่มันเป็นทักษะเบสิกที่ทุกคนต้องมี ตอนนี้พรีวิลเลจของการอ่านมันเล็กลง เพราะการศึกษามันไปไม่ถึง มีเดียอื่นเลยโตแทน มันเลยมาแทนที่กัน

ถามว่าสำคัญไหม แน่นอนว่าสำคัญ แต่เราต้องดูเรื่องความเป็นไปของสังคมด้วย”

สุดท้ายแล้ว
อยากบอกอะไรถึงซีรีส์
Books to You หน่อยไหม

“กลายเป็นว่าบทสัมภาษณ์นี้ทำให้คิดถึงชีวิตมากขึ้น ใครจะไปรู้เนอะว่าแค่วิธีการเลือกหนังสือ มันจะกลายเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตของเรา มันคือตัวตนหนึ่งของเราในช่วงเวลาหนึ่ง เมื่อเช้าก็นั่งมองชั้นหนังสือของตัวเองว่าแบบ ฮืม… ฉันเป็นคนอย่างนี้จริง ๆ หรอ บางทีก็คิดว่าฉันเฟรนด์ลี่ ฉันเข้าได้กับทุกคน แต่จริง ๆ แล้วก็ไม่นะ ถ้าคนทั่วไปมาเห็นชั้นหนังสือคงแบบ จะคุยกับคน ๆ นี้ยังไงดี นึกออกไหม แต่สำหรับเรามันเป็นแค่ส่วนหนึ่งของชีวิต มันอยู่บนนั้นเพราะเราเอามาทำวิจัย แต่เรามีมากกว่านั้นนะ”


หนังสือ 4 เล่ม จากหลากช่วงชีวิตของ ‘คิม—อดุลญา’ อาจไม่ได้เล่าตัวตนทั้งหมดของเธอ แต่ที่แน่ ๆ มันสะท้อนให้เห็นชัดเจนว่า ‘หนังสือ’ คือหนึ่งในองค์ประกอบสำคัญที่หล่อหลอมเธอให้เป็นเธอได้อย่างทุกวันนี้

แล้วคุณล่ะ…
พอจะจำได้ไหม ว่าแต่ละช่วงชีวิตมีหนังสือเล่มไหนที่ยังคงสลักอยู่ในหัวจิตหัวใจบ้าง
ลองหยิบจับมาโชว์กันที่ใต้คอมเมนต์หน่อยเป็นไง!

⁎⁎
อ้อ! เกือบลืมบอกไปนวนิยายที่เธอกำลังติดอ่านอยู่ช่วงนี้ ที่เราทิ้งเป็นปริศนาไว้ข้างต้น คือเรื่อง Katabasis ผลงานของ R.F. Kuang หากใครสนใจก็ไปติดตามหาอ่านได้ รวมถึงอีก 4 เล่มโปรดของเธอด้วยเช่นกัน

@kind.connext

“…กลายเป็นว่าบทสัมภาษณ์นี้ทำให้คิดถึงชีวิตมากขึ้น ใครจะไปรู้เนอะว่าแค่วิธีการเลือกหนังสือ มันจะกลายเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตของเรา มันคือตัวตนหนึ่งของเราในช่วงเวลาหนึ่ง” — 💬 เอาจริง ๆ เรารู้จัก ‘คิม—อดุลญา’ ทั้งผ่านสื่อและตัวจริงมาบ้างพอสมควร ตั้งแต่ช่วงแรก ๆ ที่เธอเข้ามารับตำแหน่ง ผอ. คนใหม่ของ Bacc หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร เรารู้ว่าเธอเติบโตที่ต่างประเทศและเรียนจบปริญญาตรีด้าน Art History and Music พร้อมปริญญาระดับถัด ๆ มาอีกสองใบ แน่นอนว่ารอบตัวเธอล้วนเต็มไปด้วยงานศิลปะหลากสไตล์หลายแขนง 📖 แล้วหนังสือบนชั้นของเธอจะเป็นสไตล์เดียวกันหรือเปล่า เราขอชวนคุณไปหาคำตอบ รอติดตามบทสัมภาษณ์ฉบับเต็มได้เร็ว ๆ นี้ ♥ — #BookstoYou #Aritivist #MANKIND #KINDPEOPLE #หนังสือเล่มโปรด #อดุลญาฮุนตระกูล #หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร #BACC #ขายหัวเราะ #มหาสนุก #WaysofSeeing #JohnBerger #IAmAnArtistHeSaid อารยาราษฎร์จำเริญสุข #CuratorialActivismTowardsanEthicsofCurating #MauraReilly #booktok

♬ เสียงต้นฉบับ – KiNd Connext – KiNd Connext

ขอบคุณสถานที่ถ่ายทำ
หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร


เรื่องโดย

ภาพโดย

วิดิโอโดย