เช้าวันธรรมดาปลายเดือนสิงหา หากไม่ตื่นพร้อมเม็ดฝนก็ฟ้าครึ้มไร้แสง แต่เช้านี้ฟ้าใสอากาศโปร่ง เมฆลอยฟุ้งเกลื่อนฟ้าไม่ควบแน่นเช่นวันก่อน ประจวบเหมาะกับคนใจดีที่เราหมายมั่นมาพูดคุยด้วยในวันนี้
ฟ้าใสด้านบนส่องสะท้อน ‘คุณฟ้าใส-ชิตวัน เพชรรัตน์’ ด้านล่าง เธอมาพร้อมสมุดไร้เส้นเล่มหนากับดินสอแท่งโปรด ก่อนเอื้อนเอ่ยบทสนทนาอบอุ่นหัวใจ บอกเล่าแรกเริ่มเส้นทางฝัน กว่าลายเส้น ‘Blueciiel’ จะพลิ้วไหวบนปกหนังสือ
ฟ้าใสในวันนั้น
☁︎
“เรารู้ตัวว่าชอบวาดภาพตั้งแต่ช่วงอนุบาลเลย” เสียงหวานนุ่มบอกเล่าเมื่อครั้งเยาว์ให้เราฟัง เด็กหญิงฟ้าใสในวันนั้นชื่นชอบการวาดเส้น สนุกสนานกับการขีดเขียนรูปร่างตามประสา พอขึ้นชั้นประถมก็สโคปแคบมาวาดสิ่งสนใจ วาดเกมกระดาษให้เพื่อนเล่นสนุก วาดชุดสวยจากแอนิเมชันเรื่องที่ชอบ
“เราวาดตอนว่าง ๆ ไม่ได้เรียนจริงจังจากที่ไหนเลย จำได้ว่าในช่วง ม.ต้น ที่เริ่มวาดแฟนอาร์ต หรือวาดตามแอนิเมชันก็ไม่ได้วาดตามแบบเป๊ะ ๆ อย่างพวกดีเทลของชุด สีผม รอยยิ้มบนใบหน้า เราจะวาดตามความประทับใจที่จำได้”

เส้นชีวิตถัดมาตีคู่มากับการวาด งานอดิเรกสุดสนุกเติบโตขึ้นทีละนิดพร้อมกับเธอ คุณฟ้าใสเล่าว่าเธอชอบวาดจนขึ้นเรียนชั้น ม.ปลาย ระหว่างนี้ลองผิดถูกตามหาฝัน ลงเรียนเรื่องนั้น ฝึกฝนเรื่องนี้ ขวนขวายอีกหลายอย่างจนมาเจอทางที่ตรงใจอย่างเรขศิลป์ (Graphic Design) แล้วมุ่งหน้าทำอย่างเต็มที่

ที่มาของชื่อ ‘Blueciiel’
☁︎
เวลาดำเนินไปจวนค่อนบ่าย แสงแดดสดใสยืนหยัดทำหน้าที่ไม่บกพร่อง เช่นเดียวกับความสดใสบนใบหน้าของเธอ ภายใต้แว่นตากรอบบาง ยังคงเปื้อนยิ้มเสมอพร้อมเอื้อนเอ่ยคำตอบสั้นกระชับ เธอเล่าว่าชื่อนี้ถูกตั้งในช่วง ม.ต้น อบอวลด้วยฝันใฝ่ไร้เดียงสาของเด็กหญิง ลงมือปั้นประกอบขึ้นมาจากความชอบอย่างจริงใจ
“ตอนนั้นเราติดอานิเมะมาก ๆ โดยเฉพาะเรื่อง Black Butler จะมีตัวละครหลักที่ชื่อว่า Ciel อยู่ แต่ในอานิเมะจะออกตามเสียงคาตาคานะเป็น Ci-el เราก็เลยใช้คำนี้แล้วก็เติมคำว่า Blue เข้าไป กลายเป็น Blueciiel ซึ่งมีความหมายว่าท้องฟ้าที่มีสีฟ้า เป็นอักษร 9 ตัวที่จัดเลย์เอาท์ง่าย และตรงกับชื่อเราพอดีคือ ‘ฟ้าใส’” เธอยิ้มตามเรื่องเล่าในอดีต

ระหว่างทางฝันของ Blueciiel
☁︎
วันเวลาหมุนผ่าน ชีวิตในรั้วมหา’ลัยคุกรุ่นไม่ใช่เล่น แต่เธอไม่เคยละมือทิ้งการวาด ยังเชื่อมั่นในการหยิบจับกระดาษ ตวัดดินสอวาดเขียน ลงมือทำจริงจังอยู่เสมอ เรื่อยมาจนวันจบการศึกษา ขาหนึ่งเธอนั่งโต๊ะงานประจำทำกราฟิกดีไซเนอร์ ขณะเดียวกันก็ก้าวเดินในสายการวาด วาดปั้นผลิตผลงานออกมาไม่ขาดสาย จวบจนวันที่เธอทำสำเร็จไปอีกขั้น ก้าวสู่อาชีพอดิเรก ‘นักวาดภาพประกอบ’ บนปกหนังสือที่ใครเห็นก็อดเอ่ยปากชมไม่ได้

“เราโตมากับหนังสือ เลยเข้าใจดีเลยว่าหนังสือหนึ่งเล่มส่งผลยังไงกับคนอ่านบ้าง ไม่ว่าจะเด็กเล็กหรือแม้แต่ผู้ใหญ่ถ้าได้ลองอ่าน โลกกว้าง ๆ ใบนี้จะดูเล็กเท่าขนมปังสักหนึ่งก้อน มีนักวาดภาพประกอบอย่างเราที่เป็นยีสต์ ช่วยให้ขนมปังอบฟูสวยงามเชิญชวนให้อยากกิน อยากซื้อกลับไปอ่านข้างใน รู้สึกดีใจมาก ๆ ที่ได้มีโอกาสวาดปกหนังสือสักเล่ม”
เล่าเรื่องเบื้องหลัง
☁︎

กว่าหนังสือหนึ่งเล่มจะเดินทางมาถึงการวาดภาพหน้าปก ต้องผ่านการใส่วัตถุดิบหลากสิ่ง นวดคลึงคลุกเคล้าจนกลมกล่อมได้ที่ แล้วจึงก้าวเข้าสู่กระบวนการวาด เธอยืนยันว่าการพูดคุยกับต้นทางอย่างบรรณาธิการเล่ม และอาร์ตไดเรกเตอร์นั้นสุดแสนสำคัญ รายละเอียดทุกจุดไม่อาจก้าวข้ามผ่าน จะเรื่องเล็กจิ๋วหรือใหญ่โตย่อมส่งผลต่อภาพวาดอย่างไม่ต้องสงสัย

“ช่วงสเก็ตช์มือก็ยังเป็นช่วงเวลาที่สื่อสารกันอยู่ แต่มีตัวสเก็ตช์เข้ามาเพิ่มเติมให้เห็นภาพตรงกัน หลังจากนั้นก็ไปทำต่อในสเกลจริง แล้วค่อยลงสีจริงในขั้นตอนถัดมา”
ภาพบนปกร้อยเรียงเรื่องราว คุณฟ้าใสเล่าว่าย่อมดีกว่าหากได้อ่านเนื้อใน เก็บจังหวะเล่าเรื่อง โทนเสียงถ้อยคำ ทำความรู้จักนักเขียนจากบริบทในเล่ม ก่อนจะถ่ายทอดผ่านเสน่ห์เส้นสายของเธอ หยิบอิริยาบถชีวิตประจำวันมาลากเส้น ตั้งแต่ท่วงท่าก้าวเดิน เสื้อคลุมลอยพลิ้ว เส้นผมปลิวไสว องศาห่อไหล่ เรื่อยมาจนถึงใบหน้าเปื้อนยิ้ม ซึ่งอาจหยิบจับจากเบื้องลึกความทรงจำ ไม่ก็หยิบยืมจากคลังภาพในมือ “ถ้าเป็นนักเขียนคงเป็นการจดโน้ตไว้ นักวาดอย่างเราก็วาดไว้เหมือนกัน” เธอเล่าพลางเปิดหน้าสมุดสเก็ตช์ให้เชยชม

Blueciiel ในวันนี้และวันข้างหน้า
☁︎

ปฏิเสธไม่ได้ว่าการเริ่มทำงานเร็วนั้นมีดี เป็นผลให้เธอได้แง่คิด ต่างจากคนวัยเดียวกัน หากเป็นฟ้าใสคนธรรมดาอาจเหนียมอายไม่ถนัดพูดจา ละเว้นทำสิ่งนอกกรอบ ตรงกันข้ามกับพาร์ทของ Blueciiel ที่เจนจัดเรื่องงาน ฉะฉานเรื่องสื่อสาร หยิบจับประเด็นมาวาดเขียนอย่างมั่นใจ ทุกสิ่งอย่างเสริมให้ตัวเธอในวันนี้เติบโตขึ้นอย่างดี
ครั้นได้ถามไถ่ถึงอนาคตอันใกล้ เธอเล่าว่ายังมองภาพตัวเองนั่งทำงานด้านกราฟิกอยู่ ควบคู่ไปกับงานวาดเขียนที่จริงจังมากขึ้น อาจไม่ใช่งานประจำแบบที่ทำ เพียงเป็นงานออกแบบที่ได้คิดสร้างสรรค์ก็เป็นพอ
และเช่นเดียวกันกับเรื่องเล่าที่ผ่านมา เส้นสายเรื่องราวของเธอหลงเหลือบางอย่างให้ได้คิดต่อ ถัดจากนี้เราอาจมองสิ่งรอบตัวมากขึ้น ค่อย ๆ ก้าวไปพร้อมกับชีวิตเฉื่อยช้าแต่สุขสม ด้วยหวังอย่างยิ่งว่า หลายคนจะเติบโตไปพร้อมกับบทสนทนานี้เช่นกัน
ก่อนจากกัน เรื่องเล่านี้เป็นเพียงจุดเริ่มต้นจากมินิซีรีส์ ‘Bookery เรื่องเล่ารอบหนังสือ งานนี้ไม่มีนักเขียน เรื่องนี้ไม่มีคนอ่าน’ ยังมีเรื่องเล่าใหม่เอี่ยมให้ได้ติดตามอีกหลายตอน แม้อยากเปิดปากเล่าจนใจจะขาด แต่อาจต้องอุบเอาไว้ก่อน พร้อมยื่นคำสัญญาว่าจะกลับมาในเร็ววัน…
เรื่องโดย

ภาพโดย
