สิ่งแรกที่พุ่งพรวดให้เราเห็นเสมอจาก แตงโม-กิตติพร โรจน์วณิช คือ ‘เอเนอร์จีนักเอนเตอร์เทน’ ของเธอ
เธอเฮฮาและร่าเริงในทุกที่ที่เราจะเจอเธอได้ ในรายการไกลบ้านในฐานะนักแสดงผู้ไล่ล่าคว้าฝันที่ฮอลลีวูด ใน YouTube และ TikTok จากวิดีโอ ‘แตงโมเสาหัก’ ที่เธอลิงโลดห้อยโหนอยู่กับเพื่อน ๆ จนเป็นไวรัล หรือตามเวทีสแตนด์อัพคอเมดี้นับไม่ถ้วน ตั้งแต่วันที่เธอชนะการประกวด ‘ยืนเดี่ยว’ เมื่อปี 2022 และตะลุยทำเดี่ยวไมโครโฟนเต็มตัว
อย่างที่รู้ ๆ กัน เธอเล่าเรื่องได้ไม่เหมือนใคร จี๊ดจ๊าด และหาตัวจับยากอย่างที่สุด เพราะไม่ว่าเธอจะหยิบส่วนไหนในชีวิตมาเล่าก็สนุกสนาน และต่อให้เป็นช่วงเวลาหนักหน่วงของชีวิต อย่างการเดินทางท่องเที่ยวที่ไม่เป็นไปตามแผน ประสบการณ์ทำพาร์ตไทม์ระหว่างรอแคสต์งาน ช่วงเลิกกับแฟนหรือเป็นโรคซึมเศร้า ฯลฯ เธอก็ไม่อ่อนข้อให้ ยังทำเราขำท้องแข็งน้ำตาเล็ดไปกับเรื่องเจ็บปวดของเธอได้
แต่สำหรับเรื่องหนังสือและการอ่าน เธอไม่เคยเล่าที่ไหนจริงจัง เป็นเรื่องส่วนตัวที่เธอทำคนเดียวเวลาอยู่บ้านกับที่ร้านการ์ตูน เธอบอกว่าเธอไม่เคยถามเพื่อนด้วยซ้ำว่าอ่านเล่มไหนบ้าง และไม่มีสมาคมลับห้อยพวงกุญแจการ์ตูนอะไรทั้งนั้น …เธอติดงอมแงมของเธออยู่คนเดียว
เราเลยติดต่อขอให้เธอหยิบหนังสือเล่มโปรดมาเล่าให้ฟังในมินิซีรีส์ Books to You ด้วยหวังจะได้เห็นมุมมองไม่คุ้นเคยที่เธอมีต่อสิ่งต่าง ๆ และชีวิต ผ่านหนังสือ 3 เล่ม 01 หน้ากากแก้ว โดย ซุสุเอะ มิอุจิ / 02 Long Day’s Journey into Night โดย Eugene O’Neill / 03 The Artist’s Way โดย Julia Cameron ที่อาจทำให้คุณคิดว่า คุณพอจะเห็นความเชื่อมโยงอะไรบางอย่างจากลิสต์ที่เธอเลือกมา มองออกว่าเธอจะเล่าเรื่องอะไรต่อจากนี้ แต่ไม่! คุณไม่รู้หรอก! เธอชอบเซอร์ไพรส์คนอื่น ๆ พอ ๆ กับที่เธอชอบเรื่องเซอร์ไพรส์นั่นล่ะ
ว่าด้วยเล่มแรก ๆ ของชีวิต
―
เธอเลือกหนังสือไม่ได้จนวินาทีสุดท้าย เธอบอกพวกเราว่า การคัดหนังสือให้เหลือแค่ 3 เล่มเป็นเรื่องคอขาดบาดตาย ที่เธอตบตีกับตัวเองอยู่สักพัก ซึ่งนั่นก็หมายความว่าเธอเป็นนักอ่านมือเปื้อนหมึก ที่ผ่านหนังสือมาโชกโชนพอสมควร
เราเลยเริ่มคุยกันถึงหนังสือเล่มแรก ๆ ในชีวิตเธอ
“ชอบอ่านมาตั้งแต่เด็ก เน้นภาพเยอะ ๆ อ่านนิทาน การ์ตูน พวกแนววิทยาศาสตร์นี่ชอบมาก …อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ …เซอร์ ไอแซก นิวตัน รู้สึกว่าได้อ่านการ์ตูนไปด้วย ได้ความรู้ไปด้วย เป็นหนังสือที่ช่วยการเรียนรู้ของเรามาก ๆ ตอนเด็ก
ตอนอยู่ ป.5 ฉันภูมิใจมากที่รู้จัก E = mc² ซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะจำไปทำไม (หัวเราะ) เพราะเพื่อนก็ไม่ได้มาอินกับฉันด้วย
พอโตขึ้นมาหน่อยถึงได้อ่านเท็กซต์จริง ๆ จัง ๆ เล่มแรกที่อ่านโดยที่ไม่ได้โดนบังคับอะไรเลย คือแฮรี่พอตเตอร์
ช่วงนั้นทำงานเป็นหมอภาษา พอต้องมาโรงเรียนเช้าแล้วไม่รู้ว่าจะทำอะไร ก็เลยอ่านแฮรี่ฯ เพราะโรงเรียนมีให้อ่าน” เธอจุดประเด็นให้สงสัย
ทำไมถึงใช้คำว่า ‘อ่านโดยที่ไม่ได้โดนบังคับ’
―
“เพราะฉันมีพี่สาว ฉันก็อ่านการ์ตูนตามเขา ชอบเหมือนกันเยอะมาก เพราะว่าฉันอ่านหนังสือต่อจากพี่นั่นแหละ”
งั้นก่อนจะเข้าเรื่องการ์ตูน
เล่าถึงหนังสือเล่มแรกที่อ่านจบให้ฟังหน่อย
ถ้ายังจำได้
―
“เล่มแรกที่อ่านจบเป็นหนังสือภาษาอังกฤษ อ่านตอนไปเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนที่เมกา ชื่อ Huckleberry Finn (Adventures of Huckleberry Finn โดย Mark Twain)
มันเป็นนิยายที่เล่าด้วยภาษาพูดเกือบหมด มีสแลงของคนดำอะไรแบบนี้ ตอนนั้น ภาษาอังกฤษธรรมดายังไม่ค่อยรู้เรื่องเลยนะ แต่ว่าอ่านเล่มนี้แล้วรู้เรื่องเฉยเลย แล้วสนุกด้วยนะ แปลกใจมาก
ตอนนั้น เขาให้นักเรียนเลือกหนังสืออ่านกันคนละเล่ม เพื่อนเยอรมันเลือก To Kill a Mockingbird (ของ Harper Lee) หนา ๆ เลยนะ ส่วนฉันเลือกเล่มที่บางที่สุด” เธอหัวเราะภูมิใจ
แสดงว่าอ่านหนังสือต่อเนื่องมาจนเรียนมัธยม
―
“อ่าน อ่านการ์ตูนเยอะมาก!
อย่างช่วงสอบ จะบอกตัวเองเลยว่า ถ้าอ่านโคทาโร่ จบ 60 เล่ม (ข้าชื่อโคทาโร่! โดย ทัชซึยะ ฮิรุตะ) ฉันจะรีบไปอ่านหนังสือเรียนทันที แล้วก็จะอ่านไปจนถึงตี 2-3 ต้องอ่านการ์ตูนเสร็จก่อน จะได้มีสมาธิ ตัดกิเลสให้หมดก่อน” เธอหัวเราะภูมิใจเป็นรอบที่สอง
“ฉันรู้สึกว่าที่ฉันเป็นฉันทุกวันนี้ มีรสนิยมแบบนี้ มีคุณธรรม-ศีลธรรมต่อคนอื่น ๆ แบบนี้ มาจากการ์ตูนเลยนะ” เธอเสริม
การ์ตูนสอนศีลธรรมยังไง
―
“คือการ์ตูนญี่ปุ่นมีหลายทรงมาก เรื่องดาร์ก ๆ แบบปลาบู่ทอง ที่เอาปลาบู่ไปแกงก็มี เริ่มต้นเป็นโรบอตปิดท้ายด้วยปรัชญาก็มี เรื่องธรรมชาติก็มี การดีลกับความสัมพันธ์ก็มี อย่างเพื่อนรักเราเป็นคนเลวมาก แต่เขาดีกับเรา ในองค์ประกอบของเรื่องหลาย ๆ แบบ ตั้งแต่ยุคโบราณไปยันโลกอนาคต
มันทำให้ฉันรู้ว่า มันมีคนหลายแบบ คนเลว ๆ ก็มีอยู่ในโลกด้วยเหมือนกัน บางคนปูมาดีมากแต่จริง ๆ แล้วน่ากลัวก็มี มันสอนให้ฉันรู้จักระวังตัว มันสะท้อนสังคมอย่างที่มันเป็น โดยไม่ต้องมาปรุงแต่งให้มีแต่เรื่องดี ๆ นี่คงเป็นคุณค่าของเรื่องดาร์กๆ สำหรับฉัน
ฉันชอบดูด้วยว่าตัวละครในเรื่องดีลกับสิ่งเหล่านี้ยังไง การได้รู้การเดินทางร่วมกับตัวละครตั้งแต่ต้นจนจบ ไม่ว่าจะเป็น Side Character (ตัวรอง) หรือ Main Character (ตัวหลัก) มันเปิดกว้างจินตนาการฉัน
ฉันไม่ต้องมานั่งคิดเลย ว่าทำไมจะทำอันนั้นอันนี้ไม่ได้ ขณะเดียวกันมันก็เตือนฉันว่า โลกนี้มีทั้งคนดี-คนไม่ดี”
การ์ตูนมีอิทธิพลต่อชีวิตขนาดไหน
―
“มันทำให้ฉันอยากเรียนศิลปกรรม เพราะอยากวาดรูป” (หัวเราะ)
ไม่เกี่ยวกับอักษร จุฬาฯ เลยหรอ
―
“ไม่เกี่ยวเลย ไม่ใช่แม้แต่น้อย เป็นความบังเอิญล้วน ๆ
ตอนแรกสอบตรงศิลปกรรม ศิลปากร พี่ฉันชอบวาดรูป พ่อเป็นวิศวะ แม่ชอบทำงานฝีมือ ฉันโตขึ้นมาเพื่อนก็ชมว่าวาดรูปเก่งตลอด
พอกลับมาจากแลกเปลี่ยน เราเลยไปเรียนพิเศษ แต่คนอื่นเขาเรียนมาตั้งนานแล้ว มีถาดพระ 5 อันเรียงสี โทนเย็นโทนร้อน ฉันก็ก็อก ๆ แก็ก ๆ เรียนไปคอร์สหนึ่ง ได้ผสมสี 2 ครั้ง
ตอนสอบ ฉันเอาถ้วยโยเกิร์ตกับน้ำขวดเล็ก ๆ เข้าไป ขณะที่เพื่อนถือถัง TOA เข้ามาทุกคน พร้อมล้างแปรง ฉันเสียขวัญมาก (หัวเราะ) เขาให้ออกแบบโปสเตอร์แก้วเซเว่นปีหมา ทา ๆ ไปพู่กันก็บิน …เละ ฉันก็ต้องซ่อม เป็นแบบนั้นอยู่ 3 รอบ
ฉันก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน”
แล้วอักษร จุฬาฯ มาได้ไง
―
“ไปแลกเปลี่ยนมาด้วย แล้วตอนเรียนภาษาอังกฤษก็โอเค พอรู้ว่าไม่เอาศิลปกรรมแล้ว ก็เลยเลือกอักษรศาสตร์
อ่านหนังสือ สอบติด แล้วก็ไปเรียน”
เอกละคร (ศิลปการละคร) มาตอนไหน
―
“ตอนแรกไม่รู้จักหรอก ไม่รู้ว่าอักษรฯ มีเอกละคร ตั้งใจเข้ามาเรียนเอกสเปน แต่ฉันไม่ได้เป็นคนเก่งภาษา ไม่ใช่เด็กสายภาษา เรียนศิลป์คำนวณมา เป็นลูกครึ่ง (ระหว่างคณิตกับอังกฤษ) ฉันก็ไม่อยากไปเป็นฐานอันมั่นคง เลยเปลี่ยนมาเรียนเอกที่ไม่ต้องมีพื้นฐานมาก่อน เกือบเรียนปรัชญาแล้วนะ แต่มาจบที่ละคร เพราะเป็นอย่างเดียวที่ไม่รู้จักว่าคืออะไร …แปลกดี
ชอบเซอร์ไพรส์ตัวเอง”
นึกว่าอ่านหน้ากากแก้ว
เลยอยากเรียนละคร
―
“โนนนนน! นี่ก็ไม่ใช่อีก ฉันไม่รู้จักหน้ากากแก้ว มาก่อน พี่ฉันไม่อ่านตาหวาน มารู้จักหลังเรียนจบละครแล้ว มีรุ่นพี่คนหนึ่งบอกว่า เขาเลือกเรียนละครเพราะอ่านเรื่องนี้”
ถ้าไม่อ่านตาหวาน
แล้วชอบอ่านหนังสือแบบไหน
―
“ชอบอ่านการ์ตูนญี่ปุ่น ชอบอ่านฟิกชั่นที่แฟนตาซีนิด ๆ Whimsical (แปลก ๆ แต่ไม่ถึงขั้นประหลาด เพ้อฝัน เหนือจินตนาการ) นิด ๆ แฝงปรัชญานิด ๆ แล้วที่ชอบมากก็พวกเรื่องที่อิงประวัติศาสตร์ ชอบอ่านเรื่องจริงที่เกิดขึ้นในสังคม แต่ตัวละครเป็นฟิกชั่น
อย่างหนังสือเล่มหนึ่งที่ได้อ่านตอนอยู่อักษรฯ ฉันยืมอาจารย์คนหนึ่งมา เป็นนิยายเลสเบี้ยนเรื่องแรกที่ได้อ่าน Tipping the Velvet ของ Sarah Waters ทุกเล่มของนักเขียนคนนี้เป็นเบี้ยน เบี้ยน เบี้ยน เบี้ยน เบี้ยนทั้งหมด
มันทำให้เราจำ Idiom (สำนวน) ที่เป็นชื่อหนังสือได้ Tipping the Velvet” เธอเล่า พร้อมกันทำมือบอกใบ้ เธอชูมือเป็นรูปตัววีแถว ๆ คาง “เข้าใจไหม” เธอถามย้ำ ๆ เปลี่ยนท่าสลับมือไปมา ก่อนจะหลุดพูดว่า “เลีย_” ในแบบที่ตรงไปตรงมาที่สุด ค่อยอธิบายแบบน่ารักให้ฟังว่า “กินคุกกี้” หรือที่เราคิดเองว่ากินคุกกีกี้ถึงจะถูก
“Amazing ใครจะไปรู้ว่ายุควิกตอเรียน ก็มีดิลโด้คอมมิวนิตี้”
—
สวนทางกับคนอื่น ที่มักอ่านหมวดหมู่การ์ตูนตาหวานตั้งแต่เด็ก ๆ อย่างที่เธอบอกไว้ช่วงต้น ว่าเธออ่านตามพี่สาว ถึงได้พลาดหมวดหมู่นี้ไป แต่หน้ากากแก้วก็เอาชนะใจเธอได้ในที่สุด! เช่นเคย หนังสือเล่มนี้ไม่ใช่สิ่งที่เธอตั้งใจว่าจะอ่านไม่ใช่หนังสือแนวถนัด แต่ปาดหน้าขึ้นแท่นหนังสือเล่มโปรดได้ในโค้งสุดท้าย …อย่างน่าเซอร์ไพรส์
เล่าที่มาที่ไปของหน้ากากแก้ว
ให้ฟังหน่อยได้ไหม
―
“อย่างที่บอกว่า ฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าละครเวทีคืออะไร ไม่รู้จักเล่มนี้ก็ไม่แปลก (หัวเราะ) ไม่รู้ว่ามีการ์ตูนเกี่ยวกับละคร
ตอนนั้นเรียนจบแล้ว พอมีรุ่นพี่มาแนะนำให้อ่านก็ลองไปตามหาที่ร้านเช่า แล้วอินมาก
ตอนเห็นว่าตาหวานก็แอบ Judging เบา ๆ แต่รู้ไหมว่าสิ่งที่เลิศที่สุดของมันก็คือ ‘ความตาหวาน’ ตอนนี้ถึงเล่ม 49 แล้ว เริ่มลุ้นมาตั้งแต่เล่ม 10 อะ ว่าเมื่อไหร่นางเอกจะลงเอยกับพระเอกสักที
หน้าสุดท้ายของเล่ม 49 พระเอกมองออกไปที่ทะเล แล้วพูดว่า ‘รอฉันก่อนนะมายะ’ ส่วนนางเอกมองไปที่ท้องฟ้า แล้วบอกว่า ‘ในที่สุด ฉันก็จะได้พบคุณ คุณกุหลาบสีม่วง’ แล้วแม่งก็จบ
ฉันรอมา 10 ปี เล่ม 50 อยู่ไหน!”
ชอบ ‘ความตาหวาน’ อะไรของเล่มนี้
―
“ความสนุกครบรส ความหลายองค์ประกอบ ความเซอร์ไพรส์แล้วความเซอร์ไพรส์อีก แล้วก็ชอบที่มันยาว แล้วฉันได้โตไปกับมัน”
จากนั้น เธอก็เสนอว่า จะเล่าเรื่องย่อของหน้ากากแก้วให้ฟัง ซึ่งเราก็ไม่ขัดและเห็นด้วย รอฟังว่าหน้ากากแก้วในมุมมองเธอ จะเหมือนหรือต่างจากหน้ากากแก้วที่เราอ่านสรุปย่อมาจากอินเทอร์เน็ตแค่ไหน
“หน้ากากแก้วเป็นเรื่องของ ‘มายะ’ เด็กผู้หญิงหน้าตาธรรมดา ไม่ได้พิเศษอะไร แถมจนด้วย แม่ทำงานในร้านขายอาหารจีน ส่วนนางเอกเป็นเด็กส่งก๋วยเตี๋ยว ที่ชอบดูทีวีมาก ต่อให้บ้านไม่มีทีวี ก็ต้องปีนหลังคาดูทีวีเพื่อนบ้าน เป็นความทะยานอยากของเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่มีต่อสิ่งที่สนใจ
วันหนึ่งอาจารย์สอนแอ็กติ้ง ‘สึกิคาเงะ’ หรือ ‘มาดามมืด’ ก็มาเจอมายะ เมื่อก่อนสึกิคาเงะเป็นนักแสดงที่สวยและดังมาก แต่ประสบอุบัติเหตุไฟหล่นใส่หน้า เลยเสียโฉม และต้องเอาผมปิดหน้าไว้
ประเด็นคือสึกิคาเงะได้ลิขสิทธิ์ละครที่ชื่อว่า ‘นางฟ้าสีแดง’ ซึ่งเป็นบทระดับตำนานที่เป็นที่ต้องการของวงการละคร มาจากอาจารย์ของเธออีกที ก่อนตายอาจารย์ของเธอเป็นผู้กำกับและเธอก็เล่นเป็นนางเอกเองด้วย
ทีนี้ มายะก็หนีออกจากบ้านมาเรียนแอ็กติ้งกับอาจารย์สึกิคาเงะ พอแม่มาตามกลับ มายะก็ไม่ยอมกลับ จึงเกิดเหตุการณ์ตัดแม่ตัดลูก (ซึ่งนั่นเป็นครั้งสุดท้ายที่แม่-ลูกได้พบหน้ากัน) แต่เมื่อแม่กลับบ้านไปและคิดได้ เธอก็เขียนจดหมายกลับมาขอคืนดีกลับมายะ บอกว่าแม่เข้าใจแล้ว ‘ขอให้ลูกตั้งใจ ถ้าไม่ไหวก็กลับมาบ้าน กลับมาหาแม่นะ’
เมื่ออาจารย์สึกิคาเงะได้อ่านจดหมาย ก็นำจดหมายฉบับนั้นไปเผาทิ้ง เพราะไม่อยากให้มายะรู้สึกว่าตัวเองมีที่ให้กลับ อยากให้มายะรู้สึกว่าถอยไม่ได้
จนสุดท้าย ตอนที่แม่ป่วยหนักและมายะได้เป็นนักแสดงที่มีชื่อเสียงแล้ว แม่ก็หนีออกจากศูนย์ฯ ทั้งที่ตาบอด เพื่อไปตามหามายะ แต่ระหว่างทางกลับถูกรถชนเสียชีวิต
และนั่นก็เป็นจุดเปลี่ยนของชีวิตที่ทำให้นางเอกเข้าสู่ช่วงตกอับ แอ็กติ้งไม่ได้อยู่นาน”
“ถึงฉันจะรักตัวละครนี้มาก (สึกิคาเงะ) แต่จุดนี้มันเป็น Character Flaw (ข้อบกพร่องของตัวละคร) ให้เห็นเลยว่า ความเห็นแก่ตัวของมนุษย์ จะนำพาไปสู่อะไรก็ไม่รู้” เธอเสริม
นอกจากดราม่าครบรส
ชอบตรงไหนอีกไหม
―
“นางเอกไม่เคยเรียนแอ็กติ้ง ไม่เคยฝึกอะไรทั้งนั้น สิ่งที่นางมีคือพรสวรรค์ สัญชาตญาณและความมุ่งมั่นบางอย่าง
เหมือนฉันได้กลับไปเรียนละครซ้ำ แต่ก็ดีมากนะที่ได้อ่านหลังเรียนละครจบแล้ว ถึงแยกแยะได้ว่าเรื่องไหนท็อกซิก คนที่แยกแยะไม่ได้ก็จะรู้อะไรผิด ๆ นึกออกไหม แต่พอเรารู้แล้ว เราก็ขำไปกับมัน อ่านเป็นเอนเตอร์เทนเมนต์ล้วน ๆ”
ยกตัวอย่างความท็อกซิกให้ฟังหน่อย
―
“มีฉากหนึ่ง ที่นักแสดงจะเล่นอิมโพรไวซ์ (Improvise—แสดงบทบาทไปตามสถานการณ์โดยไม่ได้เตรียมการไว้ก่อน) ไม่ซ้ำกันทุกวัน ตีกันจริง เอาส้อมเสียบกันจริง เลือดตกยางออกกันจริง ในใจฉันคือ ‘เล่นกันกี่รอบวะ’ ต้องตายแล้วไหมวะ เอาเก้าอี้เหวี่ยงกัน เตะตกเวที การแสดงจริง ๆ ทำแบบนี้ไม่ได้ เพราะต่อให้แสดงไม่เหมือนกันแค่ไหนก็ห้ามเปลี่ยนบล็อกกิ้ง (หัวเราะ) ไม่เหมือนกันคือไม่เหมือนกัน ‘ข้างใน’ ไม่ใช่อยากจะอยู่ตรงไหนก็อยู่ มันตกไฟ!”
มีตอนที่อ่านแล้วนึกถึงตัวเองบ้างไหม
―
“ตอนที่นางเอกไปออดิชั่น แล้วต้องอิมโพรไวซ์ นักแสดงที่มาแคสต์ต้องลุกขึ้นมาเล่นตามสถานการณ์บนเวที
นางเอกออกไปคนแรก เล่นเสร็จก็เข้ามานั่ง พอไม่มีใครออกมา นางเอกก็ขอออกไปเล่นอีก ออกซ้ำประมาณ 7 รอบ คนที่ยังไม่ได้ออกก็ถอดใจไม่ออดิชั่นแล้ว ส่วนนางเอกยังอยากเล่นอีก (หัวเราะ)
ฉันรู้สึกว่าตัวเองก็เคยมีโมเมนต์แบบนั้นเวลาไปออดิชั่น”
เชื่อว่ามันต้องมีตอนที่สมจริงบ้าง
เล่าให้ฟังหน่อยสิ
―
“ก็เป็นตอนที่นางเอกไปออดิชั่นอีกเหมือนกัน ทุกคนได้รับโจทย์ให้พูดได้แค่ 4 คำ ค่ะ / ไม่ค่ะ / ขอบคุณค่ะ / ขอโทษค่ะ และต้องแข่งกันว่าใครจะอยู่บนเวทีได้นานที่สุด ทุกคนรู้สึกว่าเป็นโจทย์ที่ง่ายมาก ในขณะที่นางเอกเครียดมาก แต่พอขึ้นเวที นางเอกก็เปลี่ยนเป็นอีกคนไปเลย ไม่แข่งอะไรกับใคร ไม่คิดว่าตัวเองต้องดีกว่าใคร เล่นไปเรื่อย ๆ
ฉันว่ามัน Relevant (สอดคล้อง) กับความเป็นจริงมากเลยนะ เป็นนักแสดง จะมาแข่งอะไรกัน ฉันเป็นแม่ได้สมจริงกว่าเธอที่เป็นลูกของฉันแบบนี้หรอ (หัวเราะ)
เราต้องอยู่ด้วยกันสิ”
เอามาใช้กับชีวิตการแสดงได้บ้างไหม
―
“ได้นะ มันเป็นแรงบันดาลใจที่ดีมาก ได้เห็นความสร้างสรรค์ ได้เห็นการตีความตัวละครของนางเอก มันเหมือนฉันได้นั่งคุยกับเพื่อนนักแสดงคนอื่น ๆ ได้รู้วิธีคิด ได้เห็นวิธีของนางเอกหรือของอายูมิ ซึ่งเป็นคู่แข่งและใช้วิธีแบบตรงกันข้าม ต่อให้มันไม่ใช่เรื่องจริงทั้งหมด ฉันก็หาความจริงด้วยตัวเองได้
แล้วก็ได้เห็นเส้นทางในการออดิชั่นของนางเอก ไปแคสต์งานก็อยากได้งานนั่นแหละ แต่ความสนุกของนางเอกคือการได้ออดิชั่นด้วย ซึ่งมันก็ควรจะเป็นแบบนั้น”
—
ในช่วงต่อมาของชีวิต ‘หลังจากเรียนจบปริญญาโท’ ด้านการแสดงละครเวทีที่ University of California, San Diego เธอเล่าให้เราฟังว่า เธอเข้าใจมนุษย์และความเป็นมนุษย์มากขึ้น จากการเล่นละคร
กล่าวคือ ก่อนแสดงจริง เธอจำเป็นต้องอ่านตัวบทให้ถี่ถ้วน ศึกษาและตีความตัวละครที่จะเล่น พยายามแสวงหาคำตอบว่าอะไรทำให้ตัวละครสักตัวเป็นอย่างที่มันเป็น อันนำมาซึ่งความเข้าใจต่อ ‘ชีวิต’ ทั้งของตัวเองและผู้อื่นในรูปแบบของเธอเอง
จากนั้น เธอก็พาเราไปรู้จักกับหนังสือเล่มต่อมา Long Day’s Journey into Night โดย Eugene O’Neill ซึ่งเกี่ยวโยงกับ ‘ความเป็นมนุษย์’ ‘ความสัมพันธ์’ และ ‘ครอบครัว’ อย่างแยกไม่ออก
เธอเล่าให้ฟังว่า เธอค้นพบ Eugene O’Neill นักเขียนบทละครชาวอเมริกันที่มีชื่อเสียงที่สุดคนหนึ่ง จากการไปดูละเวทีตามปรกติ แต่ละครเรื่องนั้นกับทำให้เธอ ‘เซอร์ไพรส์’ และติดใจถึงขนาดที่ต้องหาคำตอบว่าใครเขียนเป็นครั้งแรกในชีวิต
คุณคงกำลังจินตนาการว่า เธอดู Long Day’s Journey into Night แล้วอินจนอยากชวนทุกคนให้อ่านสักครั้ง เปล่าเลย เธอดูเรื่องอื่น เธอแค่อินกับทุกเรื่องที่เขาเขียน อินกับแง่มุมลึกล้ำดำมืดของมนุษย์ ซึ่งเป็นแก่นแกนในงานของ Eugene O’Neill ทุกเรื่อง …และในตัวละครทุกตัวของเรื่องนี้
“สิ่งที่ดึงดูดเราคือการนำเสนอมุมที่ดำมืดของมนุษย์ที่ไม่กล้าบอกให้ใครรู้ มันทำให้ฉันกล้าขึ้น เพราะเขายังกล้าเล่าเลยอะ บทละครของเขาทำให้ผู้ชมกล้ายอมรับมุมมืดของตัวเอง …อย่างน้อยก็กับตัวเอง” เธอกล่าว
ความน่าสนใจของหนังสือเล่มนี้คืออะไร
―
“Long Day’s Journey into Night เป็นอัตชีวประวัติของนักเขียนเรียบ ๆ ที่เรื่องเกิดในบ้าน ที่โต๊ะอาหาร เล่าเรื่องความขัดแย้งในครอบครัว โดยให้ตัวละคร 4-5 นั่งคุยกัน ตั้งแต่เช้าจนถึงเที่ยงคืน …จบ
เรื่องนี้หรอวะ! ที่จะมาทำเป็นละครให้เราดู ไม่มีฉากตื่นตาตื่นใจ ไม่มีแขนขาด ไม่มีโรยตัว ไม่มีสลิง แต่ยาวมาก เพราะมีทั้งหมด 4 องก์
เรื่องนี้ดังมากและฉันก็ได้ยินชื่อมานาน พอรู้ว่า O’Neill เขียนก็เลยไปหามาอ่าน ตอนอ่านจบครั้งแรก เซอร์ไพรส์เลย ‘นี่คือครอบครัวฉัน’ ชัด ๆ ทั้งที่เป็นเรื่องของคนขาว ที่ไม่ใช่อเมริกันด้วยซ้ำ มีคนติดยาติดเหล้า ที่ไม่มีในครอบครัวเรา แต่พอมันเป็นไดนามิกครอบครัว เป็นเรื่องความสัมพันธ์ ความละอาย ความเจ็บปวด ความหน้าไม่อาย การหลีกหนี บาดแผล เราสัมผัสถึงมันได้
ฉันเล่าเรื่องนี้ให้เพื่อนที่เป็นผู้ชายผิวขาว เกิดที่เท็กซัส และเรียนมิวซิคัลมาตั้งแต่เด็กฟัง เพื่อนคนนี้ไม่มีอะไรเหมือนกันเลย แต่พูดเหมือนกันเลยว่า This is my family. (นี่คือครอบครัวเรา)
ใครอ่านแล้วก็รู้สึกว่าเป็นครอบครัวตัวเอง เพื่อนฉันเรียกมันว่า Dysfunctional Family (ครอบครัวพัง ๆ) ที่ทุกคนรักกัน แต่ก็ทำร้ายกันโดยไม่ได้ตั้งใจ มันทำให้เรารู้ว่า ‘คนที่เรารักมากที่สุด ทำร้ายเราได้มากที่สุด’ อะไรแบบนั้น”
มี Quote เด็ด ๆ ที่จำได้ไหม
―
“มี แล้วมันสรุปเรื่องนี้ได้ดีด้วย
‘None of us can help the things life has done to us. They’re done before you realize it, and once they’re done, they make you do other things until at last everything comes between you and what you’d like to be, and you’ve lost your true self forever.’
(ไม่มีใครเลือกได้หรอกว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตเรา มันเกิดขึ้นก่อนที่เราจะรู้ตัวด้วยซ้ำ และเมื่อมันเกิดขึ้นแล้ว มันก็ผลักให้เราทำอย่างอื่นต่อไปอีกเรื่อย ๆ จนในที่สุด ทุกอย่างก็เข้ามากั้นระหว่างตัวเรากับสิ่งที่เราอยากจะเป็น แล้วเราก็เสียตัวตนจริง ๆ ของเราไปตลอดกาล)
มันทำให้เรารู้ด้วยว่า คาแรกเตอร์และวิธีการถ่ายทอดทางศิลปะของศิลปินแต่ละคน มาจากเรื่องที่เขาต้องเผชิญและประสบการณ์ชีวิต ทำให้เขาเป็นตัวของตัวเองในงานศิลปะของเขา”
—
กับหนังสือเล่มสุดท้าย เธอไม่ได้ลงรายละเอียดมากเท่ากับอีก 2 เล่มก่อนหน้า เธอบอกว่า The Artist’s Way : A Spiritual Path to Higher Creativity ของ Julia Cameron เป็นหนังสือที่ต้องลงมือทำควบคู่ไปกับการอ่าน
ความน่าสนใจของหนังสือเล่มนี้ จึงไม่ใช่การจดจำทฤษฎีทางศิลปะใด ๆ มาประยุกต์ใช้ในชีวิต แต่เป็นการลงมือฟื้นฟู ‘บ่อน้ำ’ แห่งความคิดสร้างสรรค์ ให้กลับมาเต็มเปี่ยมพร้อมตักไปใช้งาน ผ่านกระบวนการส่วนตัว ที่ผู้เขียนทดลองทำด้วยตัวเองและแบ่งปันเพื่อนฝูงศิลปินใกล้ตัวมาแล้วหลายสิบปี จนกระทั่งกลายเป็นเวิร์กช็อปเล็ก-ใหญ่ และคู่มือชอร์ตคัตในที่สุด
และด้วยเหตุผลดังกล่าว เธอจึงยังอ่านเล่มนี้ไม่จบ อ่านไปได้แค่ 2 ใน 3 ของเล่ม แต่เธอยืนยันว่าได้ผลจริง และดีพอที่จะหยิบมาแนะนำต่อ
เจอเล่มนี้มาได้ยังไง
―
“เพื่อนศิลปินที่รู้จักเคยพูดถึง แต่ก็ไม่คิดว่าจะได้มานั่งอ่านจริงจัง ไม่ใช่สไตล์อ่านหนังสือแล้วเอามาทำตามอยู่แล้ว ไม่ชอบเขียน Journal อะไรพวกนั้น
ฉันฟังหนังสือเล่มนี้โดยไม่คาดหวังอะไรด้วยซ้ำ ฟังตอนเก็บขี้หมา ถือว่าเก็บขี้หมาแล้วได้อ่านหนังสือไปด้วย …แต่กลายเป็นว่า ‘ดีว่ะ’
ถ้าไม่ใช่แนวที่ใช่
ทำไมถึงตัดสินใจอ่าน
―
“ตอนอยู่เมการู้สึกเฉา ๆ หมดไฟ พยายามจะหลุดออกมาทำงานให้ได้ อยากกลับมามีไอเดีย มีความคิดสร้างสรรค์ เลยพยายามอ่านหนังสือ ฟังพอดแคสต์ ดูยูทูบ เพื่อหาวิธีให้ตัวเองอยากกลับมาทำสิ่งต่าง ๆ”
เล่าเทคนิคในหนังสือเล่มนี้ให้ฟังได้ไหม
―
“เขาให้เขียน Morning Pages แบบ Stream of Consciousness (กระแสสำนึก—เทคนิคการเขียนที่เน้นถ่ายทอดความรู้สึกนึกคิดหรือความทรงจำออกมาอย่างเป็นอิสระ ด้วยภาษาที่ไม่จำเป็นต้องสมบูรณ์ตามแบบฉบับ) ที่ไม่จำเป็นต้องสวยงาม ไม่ต้องเป็นไดอารี่ ไม่ต้องเป็นอะไรเลยก็ได้ แค่ต้องมีกระดาษ 3 แผ่น และเขียนด้วยมือทุกวัน โดยที่ห้ามอ่าน ห้ามให้ใครอ่าน
อีกอย่างคือ Artist Date ที่ไม่จำเป็นต้องเกี่ยวกับเงิน แต่ให้เราเดตกับตัวเอง ใช้เวลากับตัวเองตามลำพังสัปดาห์ละครั้ง”
นอกจากศิลปิน
อยากแนะนำให้ใครอ่าน
―
“ถึงจะชื่อว่า The Artist’s Way แต่คนอ่านไม่จำเป็นต้องเป็นศิลปินก็ได้ มันเป็นหนังสือสำหรับทุกคนที่อยากปลุกไฟครีเอทีฟในตัวเอง …เป็นทนาย …หมอ หรืออาชีพไหนก็อ่านได้
ทุกคนมีครีเอทีฟเอเนอร์จีอยู่แล้ว”
งั้นขอ Quote เด็ด ๆ
ไว้หลอกล่อผู้อ่านหน่อย
เอาที่จำได้ก็ได้
―
“มันไม่ได้มีเฉพาะ Quote ของนักเขียนนะ นักเขียนรวม Quote เด็ด ๆ จากศิลปินคนอื่นไว้ให้หยิบมาคิด–ใช้ได้ง่าย ๆ
อย่างของปิกัสโซ่ (Pablo Picasso) ‘Every child is an artist. The problem is how to remain an artist once he grows up. (เด็กทุกคนเป็นศิลปิน อยู่ที่ว่าจะรักษาไว้ได้จนโตหรือเปล่า)
หรืออันที่ดึงสติก็มี ‘To live a creative life, we must lose our fear of being wrong.’ (เพื่อจะมีชีวิตที่สร้างสรรค์ เราต้องไม่กลัวที่จะทำผิด โดย Joseph Chilton Pearce)
‘Make your own recovery the first priority in your life.’ (จงให้การเยียวยาตัวเองเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิต โดย Robin Norwood) ตอนนั้นฉันแย่มาก เราเห็นภาพเหมือนตอนขึ้นเครื่องบินเลยว่าต้องใส่หน้ากากให้ตัวเองก่อน แล้วจะทำอะไรก็ทำ
ฉันนึกออกอีกอัน ที่น่ารักมาก เขาเปรียบว่าศิลปินในตัวเราเป็นเด็กอีกเหมือนกัน ถึงเราพูดสวยหรูไป มันก็ฟังไม่รู้เรื่อง เราต้องหลอกล่อ ทำให้มันตื่นเต้น (หัวเราะ)
‘In filling the well, Think magic. Think delight. Think fun. Do not think duty. Do not do what you should do—spiritual sit-ups like reading a dull but recommended critical text. Do what intrigues you, explore what interests you; think mystery, not mastery.’
(เพื่อจะเติมบ่อน้ำแห่งความสร้างสรรค์ คิดให้อัศจรรย์ คิดให้มีความสุข คิดให้สนุก อย่าคิดว่าเป็นภาระหน้าที่ อย่าฝืนทำในสิ่งที่ควรทำ อย่างการบังคับตัวเองให้อ่านบทวิเคราะห์น่าเบื่อ เพียงเพราะมีคนบอกว่าดี ทำในสิ่งที่ดึงดูดใจ สำรวจสิ่งที่อยากรู้ คิดให้เร้นลับ ไม่ใช่รอบรู้)
ฉันรู้สึกว่า มันทำให้อยากไปต่อ นักเขียนพูดตลอดถึงความไม่สมบูรณ์ในกระบวนการ และเราต้องมองให้เหนือจากผลลัพธ์ออกไปอีก เพราะสิ่งที่เราได้ มันมีมากกว่าผลลัพธ์ แต่เป็นตัวตนข้างในที่บ่มเพาะขึ้นจากกระบวนการระหว่างที่เราทำสิ่งนั้น ๆ”
เอาเข้าจริง Quote ต่าง ๆ
หรือหนังสือที่เราเคยอ่าน
หยิบมาใช้งานได้จริงไหม
―
“มันอยู่ที่การรับรู้ครั้งแรก
ถ้าเราไม่ได้เข้าใจมันมาก หรือไม่ได้ประทับใจอะไร เราอาจจะต้องกลับไปอ่านใหม่ แต่ถ้าเป็นอะไรที่เราเข้าใจดีอยู่แล้ว เราก็หยิบออกมาใช้ได้ทันที
สรุปว่ามันก็อยู่ที่เราเองนั่นแหละ”
นอกจาก Quote ปริมาณมาก
ผู้อ่านคนอื่น ๆ
จะได้อะไรจากหนังสือเล่มนี้อีก
―
“ได้รู้ว่าเราไม่ได้โดดเดี่ยว มันบอกเราว่ามีคนอีกมากมายที่ไปต่อไม่ได้ และก็มีคนที่ไปต่อได้จากวิธีการเหล่านั้นเหมือนกัน
ฉันเป็นหนึ่งในนั้น”
—
เราไม่รู้หรอกว่าคุณเห็นหรือเก็บเกี่ยวสิ่งใดไปได้บ้างจากบทสนทนานี้ คุณอาจได้หนังสือน่าสนใจ 3 เล่มไปตามอ่าน อาจได้รู้จักเธอมากขึ้นอย่างที่เราตั้งใจ หรืออาจจะไม่ได้อะไรเลยก็ไม่ผิดเช่นกัน เป็นอย่างที่เธอว่า ‘การอ่านเป็นเรื่องส่วนตัว’ เช่นเดียวกับโมเมนต์และประสบการณ์ ที่เราแต่ละคนมีต่อหนังสือหรืองานเขียนแต่ละชิ้นไม่เหมือนกัน
แต่เราเห็น เห็นว่าชีวิตเธอเต็มไปด้วยเรื่อง ‘เซอร์ไพรส์’ และยังต้องเจอมันอีกจนนับครั้งไม่หวาดไหว เรามั่นใจด้วยว่า เธอจะรับมือกับเซอร์ไพรส์ได้ทุกรูปแบบ แล้วโอบรับมันในที่สุดเหมือนที่ผ่าน ๆ มา เพราะเธอเป็นนักอ่านที่เข้มข้นและเติบโตเข้มแข็งขึ้นจากการอ่าน
มาอ่านหนังสือด้วยกันนะ!
ขอบคุณสถานที่ถ่ายทำ
ร้าน REN Cafe and Goods
เรื่องโดย

ภาพโดย
