ไม่เกินจริงหรอกหากจะบอกว่าประติมากรรม ‘กระต่ายยักษ์’ ที่รังสรรค์จากวัสดุเหลือใช้ตัวนั้น กำลังยืนรอต้อนรับเราอยู่…
ณ SCG Home Experience สถานที่ซึ่งทำหน้าที่เป็นทั้งเวทีจัดแสดงผลงานศิลป์ Secret in the Backyard ของ ‘เอ๋–วิชชุลดา ปัณฑรานุวงศ์’ ศิลปินผู้พลิกเศษขยะให้กลายเป็นผลงานศิลปะสุดสร้างสรรค์ และผู้ก่อตั้งแบรนด์ WISHULADA ที่นี่ยังเป็นจุดนัดพบของเรากับเธอในวันนี้ด้วย
ทว่าครั้งนี้เราไม่ได้มาเพียงเพื่อชมงานประติมากรรม และเธอเองก็ไม่ได้มาพร้อมเศษวัสดุเหลือใช้ใด ๆ เพื่อสร้างงานศิลป์ หากแต่มาพร้อมกับ ‘หนังสือเล่มโปรด’ ราวสองสามเล่มที่จะมาเผยอีกแง่มุมหนึ่งของเธอที่ไม่เคยเล่าที่ไหนมาก่อน ในซีรีส์ ‘Books to You’ ถ้าคุณพร้อมแล้ว มาเปิดชั้นหนังสือ ปัดฝุ่นเล่มเก่า ค้นหาเล่มใหม่ แล้วสำรวจว่ามีเล่มใดบ้างที่ยังคงติดตรึงใจหรือหล่อหลอมความเป็นคุณจนทำให้ ‘คุณเป็นคุณ’ อย่างทุกวันนี้
01
หนังสือเล่มโปรดคือเล่มไหน?
เมื่อคำถามแรกเอื้อนเอ่ยออกไป เธอก็หยิบจับหนังสือสองเล่มหนาออกมาจากกระเป๋าใบย่อม หนึ่งคือ ‘HR GIGER’ (2007) อีกเล่มคือ ‘PRATEEP KOCHABUA l SUR EPISODE’ (2003) พร้อมด้วยสมุดสเก็ตช์เล่มเก๋า ที่เต็มไปด้วยร่องรอยขีดเขียนและกระดาษตัดปะคอลลาจแปลกตา แต่ละเล่มคือชิ้นส่วนของความทรงจำและแรงบันดาลใจที่หล่อเลี้ยงเส้นทางศิลปินของเธอ ตั้งแต่วัยเรียนจนถึงวันนี้
Photo Credit: www.taschen.com
เริ่มกันที่เล่มแรก…
“เล่มโปรดของเอ๋คือ HR GIGER (เอชอาร์ กีเกอร์) ค่ะ เขาเป็นศิลปินชาวสวิตเซอร์แลนด์ที่เราชื่นชอบมาก เล่มนี้ซื้อมาตั้งแต่ ม.5–ม.6 น่าจะช่วงปี 2013 เก็บเงินซื้อเองเลยค่ะ เอ๋รู้สึกว่าได้อินสไปร์จากเล่มนี้เยอะมาก เชื่อว่าหลายคนต้องรู้จักเขาแน่นอน เพราะเขาเป็นคนสร้างตัวละคร ‘เอเลี่ยน’ ที่เป็นภาพยนตร์ไซไฟชื่อดัง เอ๋มองว่างานของเขาเท่ เป็นมอนสเตอร์ที่ดูสนุกมาก เอ๋จะชอบดูพวกงานสเก็ตช์ต่าง ๆ ซึ่งมักพูดถึงเรื่องของมนุษย์ การเกิด การมีชีวิต และความตาย แล้วเราก็เอาส่วนเหล่านี้มาเป็นแรงบันดาลใจในการทำงานตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาค่ะ”
แล้วเล่มที่สองล่ะ…
“สำหรับศิลปินไทย เอ๋ชอบผลงานของอาจารย์ประทีป คชบัวค่ะ หนังสือ ‘PRATEEP KOCHABUA l SUR EPISODE’ คือหนึ่งในเล่มที่ประทับใจที่สุด ภายในเล่มเต็มไปด้วยงานศิลปะเซอร์เรียลลิสต์ (Surrealist) ที่ทั้งงดงามและชวนพิศวง อย่างเสือที่ไม่จำเป็นต้องมีสี่ขา หางที่ยาวเกินจริง ร่างกายมนุษย์ที่แขนเป็นกุ้งหรือลำตัวเป็นปลา ทุกองค์ประกอบแปรเปลี่ยนออกมาเหนือจริง ส่วนด้านในก็จะมีอัตชีวประวัติของอาจารย์ประทีป และพูดถึงงานสเก็ตช์ศิลปะที่ผ่าน ๆ มาของอาจารย์ค่ะ เทคนิคของอาจารย์ก็มีครบเลยทั้งสีน้ำมัน สีอะครีลิก งานกึ่งนูนต่ำ”
“พอเจอเล่มนี้เอ๋ก็ติดตามงานของอาจารย์มาตลอดเลยค่ะ เมื่อปี 2011 เอ๋ตามไปดูงานอาจารย์และได้โปสเตอร์มาด้วย คือได้เจออาจารย์ตัวจริง แล้วก็บอกกับอาจารย์ว่า ‘อาจารย์คะ ที่หนูเลือกเรียนศิลปกรรมที่จุฬาฯ เพราะว่าอาจารย์เลย ชอบอาจารย์มาก แล้วก็อยากเป็นอาร์ติสต์ที่ประสบความสำเร็จแบบอาจารย์ ซึ่งทั้งหนังสือและโปสเตอร์ก็ยังเก็บไว้จนถึงทุกวันนี้ค่ะ”
ทุกหน้ากระดาษในหนังสือเล่มโปรด ล้วนโยงใยกับโลกศิลปะที่เธอรักและเติบโตมา หนังสือเหล่านี้จึงเปรียบเสมือนจุดกำเนิดของความคิดสร้างสรรค์ และแรงผลักดันสำคัญที่ทำให้เธอก้าวสู่เส้นทางศิลปินในวันนี้
02
ชอบส่วนไหนในหนังสือเป็นพิเศษไหม?
“เอ๋ชอบหมดเลย ทำยังไงดีนะ (หัวเราะ)” คำตอบที่ฟังดูเรียบง่าย กลับซ่อนรายละเอียดที่ลึกซึ้ง
ในเล่ม HR GIGER เธอหลงใหลภาพสเก็ตช์อันดิบเถื่อน ที่เผยให้เห็นวิธีคิดและอารมณ์ของศิลปินในขณะนั้น ส่วนในเล่ม PRATEEP KOCHABUA เธอชื่นชมทั้งชีวประวัติและงานศิลป์ที่ชวนจินตนาการต่อได้ไม่รู้จบ ผ่านรายละเอียดที่ซุกซ่อนอยู่ สองเล่มนี้จึงเป็นมากกว่าหนังสือภาพ แต่เป็นดั่งแรงบันดาลใจและพื้นที่ให้เธอได้ทดลองเล่าเรื่องในแบบของตนเอง
“งานของ HR GIGER จะมีความดิบเถื่อนและมันมากค่ะ ร่างกายคนบิดเบี้ยว ตัวผู้หญิงเห็นแค่ท่อนล่าง หรือหน้าผู้หญิงเปลี่ยนไปเหลือตาแค่ดวงเดียว งานสเก็ตช์ของเขาทำให้เราเห็นวิธีคิดของศิลปินในช่วงเวลาที่เขาสเก็ตช์ ว่าเขากำลังรู้สึกหรือมีอารมณ์แบบไหน ทำให้เอ๋เห็นคุณค่าของภาพสเก็ตช์ที่ไม่ใช่แค่ความสวยงาม แต่คือการเข้าใจวิธีคิดและความรู้สึกของศิลปินไปพร้อมกัน”
“ส่วนงานของอาจารย์ประทีป เอ๋ชอบเปิดดูรูปแล้วจินตนาการต่อว่า ตัวนี้คือตัวอะไร เริ่มสร้างเรื่องราวให้ตัวละคร ชอบดูเท็กซ์เจอร์ ดีเทลเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่แฝงอยู่ในสีเข้ม สีอ่อน การจัดองค์ประกอบและการเล่นสีของอาจารย์ ทำให้ไม่รู้สึกน่าเบื่อ แต่กลับมีความลึกลับและชวนให้ตีความ”
ด้วยทั้งสองเล่มเป็นหนังสือภาพที่เน้นโชว์งานศิลปะ แตกต่างจากวรรณกรรมอื่น ๆ ที่ยึดโยงถ้อยคำหรือฉากเป็นสำคัญ สิ่งที่เธอชื่นชอบจึงเป็นการอ่านภาพผ่านสายตา และการตีความผ่านจินตนาการเพื่อทำความเข้าใจ
03
ทำไมสองเล่มนี้ถึงยังติดตรึงอยู่ในใจ?
เธออาจอ่านหนังสือมาหลากหลายเล่ม และชมภาพศิลปะมานับครั้งไม่ถ้วน แต่ทำไมสองเล่มนี้ยังคงอยู่ติดตรึงอยู่ในใจและทรงอิทธิพลต่อเธอจนถึงทุกวันนี้ เธอตอบกลับมาด้วยเสียงหนักแน่นว่า
“สองเล่มนี้มันคือจุดเริ่มต้นของวิชชุลดาเลยค่ะ ตั้งแต่กระบวนการคิดไปจนถึงการสร้างสรรค์งาน ไม่ว่าจะเป็นงานจากวัสดุเหลือใช้ หรืองานประหลาด ๆ อะไรต่าง ๆ ของเอ๋ เอ๋ว่ามันมาจากสิ่งเหล่านี้ที่สะสมมาตั้งแต่สมัยเรียนมัธยมถึงมหาวิทยาลัย จนกลายมาเป็นรากฐานของงานศิลป์ในทุกวันนี้ เรารู้สึกว่า ‘นี่แหละคือสิ่งที่เรายังเก็บมันไว้’ ไม่ว่ากาลเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน หนังสือสองเล่มนี้ยังคงเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้เราเป็นเราในวันนี้”
04
แล้วหนังสือเล่มข้างๆ ที่หยิบติดมาด้วยนั้นคืออะไร?
หลังจากพูดคุยถึงหนังสือสองเล่มโปรดเสร็จสรรพ สมุดสเก็ตช์เล่มข้าง ๆ ก็เรียกร้องความสนใจจากเรา เราจึงขอให้เธอเล่าถึงสมุดเล่มนั้น สมุดสเก็ตช์ที่เปรียบเสมือนหนังสือที่เธอเขียนขึ้นมาเอง ซึ่งจะพาเราย้อนกลับไปยังวันเวลาในช่วงมหาวิทยาลัย
“สมุดเล่มนี้เหมือน Short Note ของเอ๋เองค่ะ ตอนนั้นไปฝึกงานกับอาจารย์ดนยา เชี่ยววัฒกี ที่มหาวิทยาลัยรังสิต อาจารย์ให้เราทำอะไรแปลก ๆ สนุก ๆ เยอะเลย เช่น ฟังเพลงแล้วแปลงความรู้สึกจากเพลงนั้นให้กลายเป็นงานศิลปะ จะเป็นเพลงไทยหรือเพลงสากลก็ได้ หรือในทางกลับกัน อาจารย์ให้ลองอ่านหนังสือแล้วเปลี่ยนสิ่งที่เราอ่านให้กลายเป็นบทเพลง ตอนเรียนเอ๋บ้าพลังมาก อาจารย์ให้ทำ 20 ชิ้น เราทำไป 100 ชิ้น อะไรอย่างนี้ เพราะสนุกไปกับการสเก็ตช์และคอลลาจ ลองทำสัตว์ประหลาดในมุมมองของตัวเอง”
“ถึงแม้จะเรียนจบไปแล้ว แต่ทุกครั้งที่เราเปิดดูสมุดนี้ ก็ยังรู้สึกเหมือนได้ความรู้และแรงบันดาลใจอยู่ตลอดค่ะ”
เธอย้ำชัดว่า การทำงานศิลปะไม่ได้หมายถึงแค่การวาดหรือเพนต์ภาพเท่านั้น แต่เป็นการฝึกทักษะการตีความและสร้างสรรค์ในเชิงเปรียบเทียบ ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นพื้นฐานสำคัญของการทำงานศิลปะของเธอ
05
มีหนังสือเล่มอื่น ๆ ที่อยากพูดถึงอีกไหม?
เมื่อถามถึงหนังสือเล่มอื่นที่มีอิทธิพลต่อชีวิต นอกเหนือจากแวดวงศิลปะ เธอเอ่ยชื่อหนังสือ ‘คิดใหญ่ไม่คิดเล็ก’ (The Magic of Thinking Big) ของ David J. Schwartz ขึ้นมา หนังสือที่เรื่องราวอาจแตกต่างไปจากเล่มก่อน ๆ แต่กลับกลายเป็นรากฐานสำคัญของความคิดและการลงมือทำ
“เอ๋อ่านเล่มนี้หลังเรียนจบค่ะ มันพูดถึงหลักคิดที่ว่า ถ้าเรามีความมุ่งมั่นหรือแพชชั่นอะไรบางอย่าง แล้วเรานึกถึงมันอยู่เสมอ ๆ วันหนึ่งมันจะเกิดขึ้นจริง คล้ายกับการสะกดจิตตัวเอง ซึ่งเอ๋ว่ามันได้ผลนะคะ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นเราต้องเพียรพยายามกับมันด้วย ต้องฝึกฝนและลงมือทำ เล่มนี้ก็ช่วยให้เกิดอินสไปร์มากเลยในการทำงานศิลปะและการทำธุรกิจต่าง ๆ ของเอ๋เอง เหมือนช่วยต่อยอดจากสิ่งที่เราทำอยู่อีกทีหนึ่ง เอ๋ก็ชอบอ่านอะไรแบบนี้มันสนุกดี”
เพราะสำหรับเธอ ศิลปะกับการขายไอเดียไม่ใช่เรื่องแยกขาดกัน แต่เป็นสิ่งเดียวกัน…
“จริง ๆ เอ๋ว่ามันเป็นเรื่องเดียวกันนะ การขายกับงานศิลปะ เหมือนเราทำธุรกิจของตัวเอง โปรดักต์ของเอ๋ก็คืองานศิลปะ มันคือเรื่องเดียวกันที่เราเอามาผสมผสานด้วยกัน หนังสือเรื่อง ‘คิดใหญ่ไม่คิดเล็ก’ จึงเป็นเล่มที่ใครก็ตาม ไม่ว่าจะทำอาชีพอะไร เมื่ออ่านแล้วจะรู้สึกมีพลัง และอยากลุกขึ้นมาทำสิ่งที่รักจริง ๆ”
06
หนังสือที่อ่านเปลี่ยนมุมมองการใช้ชีวิตยังไง?
สิ่งที่เธอได้จากการถอดบทเรียนของศิลปินทั้งสองคือ แม้จะต่างถิ่น ต่างวัฒนธรรม แต่มีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกันคือ กว่าจะยืนหยัดขึ้นเป็นศิลปินแถวหน้าของโลกได้ ต้องใช้ทั้งความมุ่งมั่น ความเพียรพยายาม และความเชื่อมั่นในตัวตนสูง
“สำหรับเอ๋ หนังสือเหล่านี้เหมือนไม้ขีดไฟ ที่มาจุดแรงบันดาลใจให้เอ๋เดินหน้าฝึกฝนและสร้างสรรค์อย่างสม่ำเสมอค่ะ มันทำให้รู้ว่า ถ้าเรามุ่งมั่นกับสิ่งที่คิดหรือสร้างสรรค์จริง ๆ เราจะประสบความสำเร็จได้ เหมือนศิลปินทั้งสองท่าน แม้อยู่กันคนละประเทศ แต่สิ่งที่มีร่วมกันคือความเพียรพยายาม ความเชื่อมั่นในเอกลักษณ์ของตนเอง และการทำงานอย่างต่อเนื่อง เพราะกว่าพวกเขาจะก้าวขึ้นมาเป็นศิลปินแนวหน้าของโลกได้ ต้องใช้ทั้งเวลาและความพยายามมหาศาล”
“เอ๋ได้เรียนรู้ว่า การเป็นศิลปินไม่ใช่ทำงานเสร็จแล้วจบ แต่คือการเดินทางที่ต้องอาศัยวินัยและความมุ่งมั่นมาก ๆ หลายคนอาจมองว่าศิลปินมักมีอารมณ์ติสต์ แต่จริง ๆ แล้วเบื้องหลังคือระเบียบวินัยที่เข้มข้น อันนี้คือสิ่งที่เอ๋ถอดบทเรียนได้ค่ะ”
07
พูดถึงผลงานศิลปะสักหน่อยดีกว่า
ขยะหลายชิ้นรวมตัวกันกลายเป็นวาฬหรือกระต่ายยักษ์ แต่สิ่งที่ซ่อนอยู่ในงานของเธอคือการเดินทางของแรงบันดาลใจ การฝึกฝน และความร่วมมือของชุมชน
“หลายคนอาจจะเห็นผลงานของเอ๋ในรูปแบบวาฬหรือกระต่าย ซึ่งเหมือนจะเป็นเพียงงานศิลปะชิ้นหนึ่ง แต่จริง ๆ แล้วสิ่งเหล่านั้นเป็นเพียงสัญลักษณ์เท่านั้นค่ะ สิ่งที่เอ๋อยากสื่อสารจริง ๆ อยู่ภายในงาน คือกระบวนการที่กว่าจะสร้างมันขึ้นมา มันไม่ใช่แค่วิชชุลดาทำคนเดียว แต่มีชุมชนเข้ามามีส่วนร่วมด้วย”
“เอ๋พยายามทำให้ชุมชนได้เรียนรู้ไปพร้อม ๆ กันว่า มิติของสิ่งแวดล้อมสำคัญยังไง จะคัดแยกขยะยังไง จะมองวัสดุเหลือใช้ยังไงให้เกิดแรงบันดาลใจใหม่ ๆ เพราะสุดท้ายแล้ว กระต่ายหรือวาฬเป็นแค่ปลายทางที่ทำให้ผู้คนเข้าถึงได้ง่าย แต่สิ่งสำคัญคือการเดินทางของงานที่เกิดขึ้นก่อนหน้านั้นต่างหากค่ะ สำหรับเอ๋ กระบวนการเหล่านี้มันคล้ายกับบทเพลงที่ค่อย ๆ ประกอบขึ้นทีละโน้ต จากแรงบันดาลใจ การฝึกฝน และการพยายาม คล้ายกับสิ่งที่เอ๋ได้เรียนรู้จากศิลปินที่ตัวเองชื่นชอบนั่นแหละค่ะ”
แม้เธอจะนิยามตัวเองว่าเป็น Social Activist Artist แต่เราอยากนิยามเธอใหม่ด้วยคำว่า ‘Artivist’ อันเกิดจากการสมาสคำว่าArtist และ Activist เข้าด้วยกันสื่อถึงศิลปินผู้ใช้ศิลปะเป็นเสียงสะท้อนของสังคม วัสดุเหลือใช้ที่เธอหยิบมารังสรรค์กลายเป็นชิ้นส่วนสำคัญในงานศิลปะสื่อผสม ที่ชวนให้สังคมตั้งคำถามและหันมาใส่ใจสิ่งแวดล้อมมากขึ้น
08
สุดท้ายแล้วคิดว่า ‘หนังสือ’ สำคัญยังไง?
ก่อนจะปิดท้ายบทสนทนา เราอยากชวนเธอมาเล่าถึงมุมมองส่วนตัวในฐานะนักอ่าน ว่าสำหรับเธอแล้ว หนังสือมีบทบาทสำคัญและสร้างคุณค่าอย่างไรในสังคม
“เอ๋ว่าการอ่านหนังสือเป็นเรื่องสำคัญมากค่ะ เพราะมันช่วยเปิดโลกทัศน์ ให้เราได้เรียนรู้องค์ความรู้ใหม่ ๆ และจุดประกายไอเดียต่าง ๆ หนังสือคือประสบการณ์ที่นักเขียนตั้งใจส่งต่อ ทุกเล่มคือเรื่องราวชีวิตของผู้เขียนที่สะสมมาเป็นปี ๆ เอ๋พยายามอ่านหนังสือให้มากที่สุดในแต่ละปี ไม่ว่าจะเป็นหนังสือภาพ วรรณกรรม หรือนวนิยาย สิ่งเหล่านี้ช่วยเติมเต็มทั้งความรู้ แรงบันดาลใจ และฝึกสมาธิให้กับเรา ในโลกปัจจุบันที่เต็มไปด้วยความวุ่นวาย ทุกคนโฟกัสอยู่กับ โซเชียลมีเดีย เราเห็นความสำเร็จของคนอื่นมากมาย จนบางทีหลงลืมที่จะไตร่ตรองตัวเอง”
“เอ๋ว่าหนังสือจะช่วยให้เราหยุดนิ่งชั่วขณะ มีสติ และกลับมาดูตัวเองจริง ๆ ว่าเรากำลังทำอะไรอยู่ ทำให้เราอยู่กับปัจจุบัน”
จากหนังสือเล่มโปรดสู่แรงบันดาลใจ จากขยะชิ้นเล็กสู่งานประติมากรรม — นี่คือเรื่องราวของ ‘เอ๋-วิชชุลดา’ ศิลปินผู้ใช้ศิลปะเป็นเครื่องมือสะท้อนสังคม และแน่นอนว่า… เธอยังคงใช้หนังสือเป็นแหล่งเติมเต็มความคิดสร้างสรรค์และผลักดันให้ก้าวเดินสู่ความสำเร็จบนเส้นทางศิลปะ ว่าแต่คุณล่ะหาหนังสือเล่มโปรดเจอหรือยัง?
เรื่องโดย

ภาพโดย
