Kind Words

นักวิทยาศาสตร์ประดิษฐ์หมึกสีน้ำเงิน เลียนแบบหมึกเขียนสุดลึกลับของต้นฉบับตำราโบราณจากยุคกลางได้


หมึกสีน้ำเงินที่ค้นพบใหม่นี้ประกอบด้วยเม็ดสีสีน้ำเงินที่นักวิจัยกล่าวว่า “เทียบเท่าหมึกตามธรรมชาติ”

ในช่วงยุคกลางนั้นสีของหมึกได้มาจากพืชตามธรรมชาติ แต่ภายหลังหมึกสีธรรมชาติเหล่านี้ได้เสื่อมความนิมยมลงในช่วงประมาณศตวรรษที่ 17 เมื่อสีที่ได้จากแร่ธาตุต่าง ๆ ซึ่งมีโทนสีสว่างสดใสกว่าได้เข้ามาแทนที่ และเป็นที่น่าเสียดายที่ความรู้สำคัญในการสร้างหมึกจากธรรมชาติจำนวนมากได้สูญหายไปเช่นกัน

แต่ล่าสุดทีมนักวิทยาศาสตร์ก็สามารถสร้างหมึกสีน้ำเงินเลียนแบบหมึกที่ใช้ในยุคกลางได้สำเร็จในที่สุด โดยการแกะรอยการทำหมึกแบบดั้งเดิมของประเทศโปรตุเกส


รายงานของ Science Alert กล่าวว่า ทีมนักวิจัยสัญชาติโปรตุเกสประสบความสำเร็จในการถอดรหัสต้นฉบับหนังสือโบราณที่มีสูตรสำหรับสีย้อมสีน้ำเงินธรรมชาติที่หายไปยาวนาน ซึ่งเรียกว่า “Folium-โฟเลี่ยม” พวกเขาช่วยคืนชีพหมึกสีน้ำเงินในยุคกลางเป็นครั้งแรกในศตวรรษที่ 21 และต่อมาผลการศึกษานี้ก็ได้รับการตีพิมพ์ในนิตยสาร Science Advances โดยองค์วามรู้ที่ได้จะช่วยให้นักอนุรักษ์สามารถเก็บรักษาคุณภาพสีจากยุคกลางได้ดีขึ้น และยังช่วยให้นักประวัติศาสตร์ระบุที่มาที่ไปของสีธรรมชาติจากยุคกลางที่ปรากฏบนตำราเอกสารโบราณได้ง่ายขึ้นเช่นกัน


“นี่เป็นสีจากยุคกลางเพียงสีเดียวที่ใช้วิธีการย้อมแบบออร์แกนิกที่เรายังไม่มีโครงสร้างเทียบเคียง และเราจำเป็นต้องรู้ว่าหมึกที่ใช้เขียนบนเอกสารโบราณทำจากอะไรกันแน่ เพราะเราต้องการจะรักษาสีที่สวยงามเหล่านี้ไว้ให้คนรุ่นหลัง” Maria João Melo นักวิจัยด้านการอนุรักษ์และฟื้นฟูจากมหาวิทยาลัย NOVA ของลิสบอนและผู้เขียนรายงานของการศึกษาหมึกสีจากธรรมชาติในครั้งนี้กล่าว

Melo และทีมงานได้ตรวจสอบตำราภาษาโปรตุเกสในยุคกลางที่มีชื่อเรื่องตรงไปตรงมาว่า “The Book On How To Make All Colour Paints For Illuminating Books” โดยหนังสือเล่มนี้มีอายุย้อนกลับไปในศตวรรษที่ 15 แต่ข้อความที่ปรากกฏในนั้นกลับมีอายุมากกว่านั้น โดยคาดว่าน่าจะย้อนไปได้ถึงศตวรรษที่ 13 ทีเดียว และเขียนเป็นภาษาโปรตุเกสโดยใช้การออกเสียงเป็นภาษาฮีบรู หนังสือเล่มนี้เป็นของ Illuminator” ท่านหนึ่ง (Illuminator คือ ผู้วาดภาพประกอบตำราโบราณ)” ที่ใช้เทคนิคการระบายสีตามแบบประเพณีนิยมของสมัยนั้น นักวิจัยเชื่อว่าจุดประสงค์หลักของหนังสือเล่มนี้อาจเพื่อ “เป็นตัวช่วยในการผลิตพระคัมภีร์ไบเบิลภาษาฮีบรู โดยการบันทึกถ้อยคำในพระคัมภีร์นั้นจะใช้สีน้ำหมึกตามระบบสีที่ระบุอยู่ในหนังสือเล่มนี้”

หนังสือเล่มนี้ได้อธิบายเกี่ยวกับวัตถุดิบที่จำเป็นสำหรับทำหมึก รวมถึงรายละเอียดต่าง ๆ ในการสร้างเฉดสี และเวลาที่เหมาะสมในการเก็บผล Chrozophora tinctoria (Chrozophoridin) ที่จะนำมาสกัดสี ซึ่งได้รับการยกย่องว่ามีค่าอย่างมากในยุคกลาง แต่ปัจจุบันถือว่าเป็นวัชพืช

“คุณต้องบีบผลไม้อย่างระมัดระวัง อย่าให้เมล็ดแตก แล้วค่อย ๆ วางบนผ้าลินิน รายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ มีความสำคัญ เนื่องจากเมล็ดที่เสียหายจะปล่อยสารโพลีแซ็กคาไรด์ซึ่งเป็นยางเหนียวที่ไม่สามารถทำให้บริสุทธิ์ได้ และจะส่งผลให้หมึกมีคุณภาพต่ำ”

– Paula Nabais ผู้เขียนงานวิจัยร่วมและนักเคมี กล่าวกับนิตยสารรายสัปดาห์ Chemical and Engineering News –


ในปี 2018 ทีมงานได้ทำสีย้อมออร์แกนิกตั้งแต่เริ่มต้นโดยใช้สูตรจากต้นฉบับ พวกเขาแช่ผลไม้ในสารละลายเมทานอล-น้ำ และค่อย ๆ คนวัตถุดิบอย่างระมัดระวังเป็นเวลานานถึงสองชั่วโมง จากนั้นเมทานอลจะถูกทำให้ระเหยออกไปภายใต้ภาวะสุญญากาศ ต่อมาจะเหลือสารสกัดสีน้ำเงินดิบที่ทีมทำให้บริสุทธิ์และเข้มข้น ซึ่งจะกลายเป็นเม็ดสีสีน้ำเงินในขั้นตอนสุดท้าย

นักวิจัยยังวิเคราะห์สารประกอบทางเคมีของสีที่สร้างขึ้นใหม่ ด้วยการใช้เทคโนโลยีขั้นสูง เช่น แมสสเปกโตรเมทรี (Mass Spectrometry หรือ MS คือ เทคนิคในการวิเคราะห์ผลการวัดสัดส่วนมวลต่อประจุ มวลสารและคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (Magnetic Resonance) และพบว่าสารประกอบในสีย้อมสีน้ำเงินในยุคกลางแตกต่างจากเม็ดสีสีน้ำเงินที่สกัดจากพืชชนิดอื่นในยุคปัจจุบัน

“Chrozophoridin ถูกใช้ในสมัยโบราณเพื่อทำสีย้อมสีน้ำเงินที่สวยงามสำหรับการวาดภาพ มันเป็นสีน้ำเงินจากธรรมชาติที่ไม่ใช่ทั้งแอนโธไซยานินซึ่งพบได้ในดอกไม้และผลไม้สีน้ำเงินหลายชนิด และก็ไม่ใช่ครามซึ่งเป็นสีย้อมสีน้ำเงินธรรมชาติที่มีความเสถียรที่สุด แต่เป็นความเฉพาะตัวที่ไม่เหมือนใครเลยจริง ๆ” นักวิจัยกล่าว


อย่างไรก็ตามเม็ดสีสีน้ำเงินที่สกัดจาก C. tinctoria มีโครงสร้างที่คล้ายคลึงกันกับโครโมโซมสีน้ำเงินที่พบในพืชอื่น เช่น Mercurialis perennis หรือ dog’s mercury ซึ่งโดยปกติจะใช้เป็นสมุนไพร ความแตกต่างคือโครโมโซมสีน้ำเงินของ C. tinctoria ละลายน้ำได้จริงทำให้สามารถเปลี่ยนเป็นสีย้อมชนิดเหลวได้

ความพยายามที่จะไขปริศนาของหมึกสีน้ำเงินในยุคกลางที่หายไปนานนั้นได้ถูกทดลองมาก่อนโดย Arie Wallert ภัณฑารักษ์และนักวิทยาศาสตร์ของ Rijksmuseum ประเทศเนเธอร์แลนด์ แต่เมื่อเขารู้สึกว่าถึงทางตัน เขาก็ตัดสินใจหยุดการทดลองชั่วคราว

“ตอนแรกผมตัดสินใจที่จะเก็บมันไว้สำหรับเป็นกิจกรรมทำหลังเกษียณแต่ด้วยพลังสมองที่ของนักวิจัยชาวโปรตุเกสกลุ่มนี้ ปริศนาก็ได้รับการแก้อย่างสวยงาม ตอนนี้ผมสามารถใช้เงินหลังเกษียณไปทำอย่างอื่นได้แล้วล่ะ”

– Wallert กล่าว-


ที่มา


เรื่องโดย