Kind Words

“Book Passport” ท่องเที่ยวไปในโลกตัวอักษร ผ่าน 3 ร้านหนังสืออิสระ และหนังสือน่าอ่าน 3 เล่ม

หนังสือเดินทางตามนิยามทั่วไปเปรียบเสมือนสิ่งแสดงตัวตนและใบผ่านทางเพื่อให้เราสามารถเข้าไปท่องเที่ยวในประเทศต่างๆ พร้อมบันทึกความทรงจำของการเดินทางได้แต่ “หนังสือเดินทางเล่มนี้” จะพาคุณเดินทางเข้าไปในโลกของตัวอักษรซึ่งเต็มไปด้วยเรื่องราวแห่งจินตนาการที่ไม่รู้จบและเรื่องราวของความเป็นจริงที่ควรค่ายิ่งแก่การค้นหา 


“Book Passport” หรือ หนังสือเดินทางร้านหนังสือเป็นหนึ่งกิจกรรมใน “โครงการวัฒนธรรมร้านหนังสือ” ที่มูลนิธิวิชาหนังสือร่วมมือกับกรมส่งเสริมวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรมจัดขึ้น เพื่อส่งเสริมร้านหนังสืออิสระทั่วประเทศให้อยู่ได้อย่างมั่นคง พร้อม ๆ กับส่งเสริมนักอ่านหน้าเก่า และหน้าใหม่ให้สนใจเข้าร้านหนังสือ เป็นการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างผู้ซื้อและร้านหนังสือให้เข้มแข็งมากขึ้นในแบบที่ไม่ใช่แค่เพียงผิวเผิน แต่คือการสร้างเพื่อให้กลายเป็นวัฒนธรรม 

วันนี้ KiNd ชวนทุกคนเก็บกระเป๋า หยิบของเท่าที่จำเป็น แล้วออกเดินทางไปยัง 3 ร้านหนังสืออิสระในกรุงเทพมหานครที่เราคัดสรรมาให้ กับอัตลักษณ์ของร้านที่แตกต่าง พร้อมมองหาหนังสือที่น่าสนใจมาเปิดอ่านท่องโลกน้ำหมึกไปพร้อม ๆ กัน 


1

จุดหมายแรกร้านหนังสือ “World at the corner
กับหนังสือเล่มแรก “The White Castle”


ร้านหนังสือร้านแรกที่เราก้าวเข้ามา จุดเด่นที่สะดุดตาคือ เรือนไม้เก่าอายุหลายร้อยปีที่ได้กลิ่นอายของความคลาสสิกโบราณ ด้านในบ้านตกแต่งด้วยสีสันที่ทำให้นึกถึงวัฒนธรรมพื้นเมืองจากหลายดินแดน ไม่ว่าจะเป็นโมรอคคัน หรือเม็กซิกันที่เต็มไปด้วยความจัดจ้าน เรียกว่าเป็นการผสมผสานความหลากหลายของแต่ละพื้นถิ่นได้อย่างลงตัว 

จุดเด่นอีกอย่างคือ ร้านนี้มีแต่เฉพาะหนังสือภาษาอังกฤษที่เจ้าของร้านได้มาจากการเดินทางไปในแต่ละภูมิภาคของโลก คัดสรรมาด้วยตัวเองจากความชอบ และอยากจะแบ่งปันกับคนที่ชอบเหมือนกัน ซึ่งแต่ละเล่มก็มีความพิเศษที่น่าค้นหาแตกต่างกันออกไป

เดินดูหนังสือเพลิน ๆ เราก็เลยไปชวน “พี่ก้อย-หนึ่งในเจ้าของ World at the corner” พูดคุยกันอย่างออกอรรถรส สักพัก เราก็หยิบจับหนังสือเรื่อง “The White Castle” ขึ้นมา หนังสือเล่มนี้เป็นผลงานของ Orhan Pamuk นักเขียนชาวตุรกี ที่การันตีด้วยรางวัลโนเบลปี 2006 โดยเราเลือกเล่มนี้เพราะพี่ก้อยเล่าว่า เล่มนี้เป็นงานเขียนเรื่องแรกของ Pamuk ที่แปลจากภาษาตุรกีเป็นภาษาอังกฤษ (แม้จะไม่ได้เป็นเล่มที่โด่งดังอย่างเรื่อง My name is Red หรือ Snow) และร้านนี้ก็เป็นร้านแรกที่เราได้ปั๊มตราปั๊มลง Book Passport เล่มน้อยของเรา แถมเดือนนี้ (กรกฎาคม) ยังเป็นเดือนที่ครบรอบ 1 ปีแรกของร้านนี้อีกด้วย (เรียกว่าเป็นคอนเซ็ปต์ “ครั้งแรก” ก็ว่าได้) 


กลับมาที่หนังสือเรื่อง “The White Castle” เล่มนี้ เนื้อเรื่องนำเสนอเรื่องราวย้อนหลัง เล่าจากปัจจุบันที่ Faruk DarvinoÄŸlu ค้นพบจดหมายเหตุเก่าในอิสตันบลูจึงได้นำออกมาตีพิมพ์ จากนั้นก็เล่าย้อนกลับไปในช่วงศตวรรษที่ 17 สมัยจักรวรรดิออตโตมัน โดยตัวละครหลักที่เป็นผู้บรรยายคือ นักวิชาการหนุ่มชาวอิตาลี ผู้มีฐานะดีได้เดินทางจากเวนิสจะไปยังเนเปิลแต่ถูกกองเรือตุรกีเข้ามายึดครอง ทำให้ต้องกลายไปเป็นทาสของเหล่าขุนนาง และเมื่อผู้บรรยายได้ช่วยรักษาอาการป่วยของขุนนางจึงทำให้เขาได้รับสิทธิพิเศษเล็ก ๆ ให้เข้าไปจัดงานดอกไม้ไฟในงานแต่งของลูกชายขุนนาง             

หลังจากเสร็จสิ้นงาน ขุนนางให้ข้อเสนอว่า จะให้ผู้บรรยายเป็นอิสระหากยอมเปลี่ยนศาสนามาเป็นอิสลาม แต่เขากลับปฏิเสธ ทำให้เขาต้องไปเป็นทาสให้กับนักวิชาการชาวตุรกีที่ชื่อ Hoja ซึ่งทั้งคู่นั้นต่างมีอะไรที่คล้ายคลึงกันมาก ทั้งสองต่างถกเถียงกันในหลากหลายประเด็นทั้งเรื่องอัตลักษณ์ เรื่องความรู้ และความหมายที่แท้จริงของคำว่า “อิสรภาพ” รวมไปถึงการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมความเป็นตะวันตก ตลอดจนความเป็นตะวันออกซึ่งกันและกัน ต่อมาเริ่มมีโรคระบาดเกิดขึ้นทำให้ผู้บรรยายมีโอกาสที่จะหนี แต่ Hoja รู้เข้าและได้จับเขาไว้ แม้ว่า Hoja จะดูโหดร้ายแต่เขาก็ยังต้องการที่จะศึกษาชีวิตในอดีตของผู้บรรยายต่อไป จนตอนนี้ Hoja สามารถจำลองการใช้ชีวิตของผู้บรรยายได้ราวกับว่าเขาเสียตัวตนให้กับเจ้านายไปอย่างไรอย่างนั้น เนื้อเรื่องยังดำเนินต่อไปจนในที่สุดเหล่าทาสทั้งหลายก็ได้รับอิสระ

เรื่องนี้โดดเด่นที่ตัวละครสองตัวซึ่งนำเสนอมุมมองของนักวิชาการผู้มีความรู้ ที่ชอบเรียนรู้ตลอดเวลา พร้อมสอดแทรกแง่คิดเรื่องของศาสนา ระบบการเมืองการปกครองแบบชนชั้น และประวัติศาสตร์โลกในศตวรรษที่ 17 ของตุรกีได้อย่างเรียบง่าย


ร้านหนังสือที่ย่อโลกทั้งใบเอามาไว้ในบ้านเล็ก ๆ แห่งนี้ ตั้งอยู่ที่บ้านเลขที่ 1 ซอยมหรรณพ 1 ย่านเสาชิงช้า ร้านเปิดทำการเฉพาะวันศุกร์-อาทิตย์ เวลา 10.00-19.00 น. รายละเอียดเพิ่มเติมสอบถามได้ที่ทาง Facebook: World at the corner บอกเลยว่าร้านนี้ต้องห้ามพลาด หากคุณเป็นนักเดินทางที่ชอบอ่านหนังสือหลากหลายจากทั่วโลก 


2

จุดหมายที่สองร้านหนังสือ “เปียบุ๊คส์
กับหนังสือสะท้อนสังคมเรื่อง “สรรพสัตว์”


ร้านหนังสือเรียบง่ายที่เราขอเรียกว่าสไตล์ชีวิตจริง เพราะเป็นร้านที่เน้นการซื้อหนังสือจริง ๆ บรรยากาศในร้านจะให้เราสามารถยืนอ่านได้อย่างเดียว ไม่มีมุมสำหรับนั่งอ่านอย่างเป็นกิจจะลักษณะ แต่นั่นอาจจะเป็นจุดเด่นของที่นี่ก็ว่าได้ เพราะเราจะได้ไม่ให้ความสำคัญกับสถานที่มากจนเกินไป แต่มีสมาธิอยู่ที่หนังสือจริง ๆ (เพราะเราเองก็ยืนอ่านอยู่สักพักใหญ่)

พี่อ้อยเจ้าของร้านเปียบุ๊คส์” ต้อนรับเราด้วยความอบอุ่นเป็นกันเอง แนะนำหนังสือเข้าใหม่ พร้อมโน้มน้าวให้เราจับมาเปิดอ่าน แต่สายตาเรากลับไปจับจ้องอยู่กับกลุ่มก้อนหนังสือที่หน้าปกมีชื่อนักเขียนเด่นตระหง่านว่า “คึกฤทธิ์ ปราโมช” หนังสือของ ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช วางอยู่บนแผงหลายเล่มทีเดียวไม่ว่าจะเป็น สี่แผ่นดิน มอม ไผ่แดง หรือหลายชีวิต แต่เรามาลงเอยกับเล่มที่ชื่อว่า “สรรพสัตว์” เป็นหนังสือที่รวบรวมเรื่องสั้นของคึกฤทธิ์ที่เคยลงคอลัมน์ในหนังสือพิมพ์สยามรัฐมาไว้ที่เดียว และเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับ “สัตว์” ทั้งหมด ผลงานเขียนเรียกว่ามีเสน่ห์เป็นอมตะ อ่านคราวใดก็ได้รสชาติเสมอ เพราะมีมุมมองที่มีความเมตตาต่อสัตว์ พร้อม ๆ กับมุมสะท้อนสภาพสังคมของไทยในช่วงเวลานั้นได้เป็นอย่างดี 

ขอยกตัวอย่างในเล่มนี้เช่นเรื่อง “เต่าวัด“เป็นเรื่องราวของเต่าที่วัดเบญจมบพิตร ซึ่งผู้เขียนเล่าว่าเต่าเหล่านี้กำลังตายลงวันละหลายตัว แต่เรากลับไม่รู้วิธีที่จะช่วยเหลือ เพราะไม่รู้ว่าจะเอาน้ำสะอาดที่ไหนมาใส่เพื่อไล่น้ำเน่าออกไปได้ ถ้าจะไปเอาน้ำจากนอกวัดมาก็ไม่ได้เพราะน้ำในคลองนอกวัดนั้นเน่ากว่าในวัดเสียอีก หรือถ้าจะวิดเอาน้ำเน่าออกเพื่อช่วยชีวิตเต่า ปลาที่อาศัยอยู่ในคลองก็จะต้องตาย

เหตุที่เต่าต้องตายก็เพราะความเน่าเสียของสิ่งแวดล้อม เต่าในวัดมีจำนวนมาก ทั้งกินทั้งถ่ายในพื้นที่จำกัดไม่ช้าก็เน่าเสีย คนในกรุงเทพตลอดจนมนุษย์ทั่วโลกกำลังตกอยู่ในสถานภาพเดียวกันกับเต่าในคลองวัดเบญจมบพิตร มนุษย์มีจำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ แต่ที่อยู่อาศัยนั้นไม่ได้มีเพิ่มขึ้น ความแออัดยัดเยียดก็บังเกิด จำนวนมนุษย์มากก็ถ่ายของโสโครกไปสู่สิ่งแวดล้อมมากเช่นกัน ถ้าหากไม่มีการแก้ไขเรื่องความโสโครกในสิ่งแวดล้อมแล้ว ในที่สุดมนุษย์ก็จะต้องตายเช่นเดียวกับเต่าในคลองนั่นเอง


ตราปั๊มที่สองบรรจงปั๊มลงบน Book Passport เล่มน้อยเล่มนี้อย่างละเมียด ที่เราเลือกหนังสือเล่มนี้ เพราะเรื่องราวของสรรพสัตว์ เรื่องราวของสิ่งมีชีวิตเล็ก ๆ ในสังคมที่อยู่ร่วมกันกับมนุษย์ บางครั้งเรากลับละเลย จนกลายเป็นความธรรมดาที่มองว่าไม่เห็นจำเป็นต้องใส่ใจ ทั้ง ๆ ที่เป็นสิ่งที่เราควรสนใจมากที่สุด 


ร้านเปียบุ๊คส์ร้านหนังสือที่มีสเน่ห์อยู่ที่ความธรรมดา ตั้งอยู่ที่ถนนดินสอ เปิดทำการทุกวันจันทร์-อาทิตย์ เวลา 8.00-20.00 น. รายละเอียดเพิ่มเติมติดตามได้ที่ Facebook: เปียบุ๊คส์ ลองมาท่องโลกน้ำหมึกกันที่นี่แล้วอาจจะพบว่า “ความธรรมดา” เป็นสิ่งที่น่าสนใจ


3

ร้านหนังสือ “Passport Bookshop”
กับหนังสือเรื่อง “บอด”


ร้านที่สามขอชักชวนมาย่านถนนพระสุเมรุ จุดเด่นที่เราจะเห็นก่อนเลยก็คือ โปสการ์ดแขวนเป็นทิว และจักรยานแนววินเทจจอดอยู่หน้าร้าน เมื่อเดินเข้าไปในร้านเราจะถูกทักทายด้วยหนังสือมากหน้าหลายตาทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ กฎของที่นี่มีอยู่ 1 ข้อคือ ห้ามถ่ายภาพ เพราะจะเป็นการรบกวนนักอ่านท่านอื่น ๆ นั่นเอง (ถ้าจะถ่ายแบบจริงจังให้นัดวันกับทางร้านล่วงหน้า) จากนั้นไม่รอช้าเดินปรี่เข้าไปหา “พี่โยพี่หนุ่มเจ้าของร้านหนังสือเดินทาง” พร้อมสั่งชาเขียวเย็นนั่งจิบรอระหว่างหาหนังสือที่น่าสนใจ


เราเดินเลือกกันอยู่นานไม่รู้ว่าจะเลือกอ่านเล่มไหน จนมาจบที่เรื่อง บอด (ENSAIO SOBRE A CEGUEIRA) ของ ฌูเซ่ ซารามากู (José Saramago) นักเขียนชาวโปรตุเกส ผู้ได้รับรางวัลโนเบลในปี 1998 

ฌูเซ่ ซารามากู ได้แต่งเรื่องพลิกมุมมองด้วยการจินตนาการว่าหากตาบอดเป็นโรคติดต่อกันได้ขึ้นมา รัฐบาลผู้ปกครองจะจัดการกับโรคระบาดนี้อย่างไร ในเรื่องผู้ติดเชื้อต้องอยู่ในสถานกักกันภายใต้การควบคุมของทหาร และปรับสถานะจากประชาชนเป็นนักโทษที่โดนจำกัดเสรีภาพและคุณภาพชีวิต เรื่องราวพิศวงแฝงนัยยะทางการเมืองนี้ได้ถูกบอกเล่าอย่างตรงไปตรงมา ใช้ภาษาได้อย่างมีชั้นเชิง 



หากจะอ่านด้วยกรอบแนวคิดทางปรัชญาการเมือง นวนิยายเรื่องนี้ก็ชวนให้เราตั้งคำถามถึงความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับประชาชน ขอบเขต และความมั่นคงของรัฐท่ามกลางภัยคุกคามที่กำลังสั่นคลอนทั้งรัฐและประชาชน คำถามที่ดังก้องในหัวคือ อะไรกันแน่ที่กำลังบอด? ความคิดของประชาชน สภาพสังคม หรือระบบการเมืองการปกครอง 



ติดตามร้านหนังสืออิสระร้านนี้ ได้ที่ช่องทาง Facebook: ร้านหนังสือเดินทาง – Passport Bookshop เสน่ห์ของหนังสือที่เลือกหยิบมาอ่าน คลุกเคล้ากับบรรยากาศอันอบอุ่น พร้อมด้วยบริการเครื่องดื่มให้จิบกันไปเพลิน ๆ สาวกคนรักการอ่านที่รักบรรยากาศอุ่น ๆ อย่าลืมปักหมุดร้านนี้


เดินทางกันมาครบแล้วทั้ง 3 จุดหมาย ผ่านร้านหนังสืออิสระ 3 แห่ง และผ่านหนังสือ 3 เรื่องราว

KiNd อยากชวนทุกคนให้ลองไปสัมผัสเสน่ห์ของร้านหนังสืออิสระดูสักครั้งเพราะคุณจะสามารถซึมซับบรรยากาศและตัวตนของร้านนั้นๆได้อย่างคาดไม่ถึงแถมยังสามารถพูดคุยกับเจ้าของร้านหรือแลกเปลี่ยนประสบการณ์ได้อย่างชิดใกล้และอย่าลืมพก Book Passport ของตัวเองกันมาด้วยน้าเพื่อสร้างสีสันให้กับกิจกรรม โครงการวัฒนธรรมร้านหนังสือ ให้ยิ่งครื้นเครง



*รายละเอียดของกิจกรรม Book Passport เพียงแค่นักอ่านซื้อหนังสือที่ร้านหนังสืออิสระครบ 300 บาท ก็จะได้รับ Book Passport และปั๊มตราประทับลงในเล่ม จากนั้นก็กดลงทะเบียนในเว็บไซต์ ยิ่งเราเข้าร้านหนังสืออิสระและซื้อหนังสือมากเท่าใดก็จะมีโอกาสรับรางวัลจากโครงการ เช่น รางวัลเดินทางไปพักผ่อนต่างเมือง ไปค้างแรมในโรงแรมหรือที่พักดีที่สุดในเมืองนั้น มีอาหารเลี้ยง และมีเงินให้ซื้อหนังสือกลับบ้าน เป็นต้น นอกจากนั้นร้านหนังสืออิสระทั้งหลายก็มีโอกาสจะได้เป็นร้านป้ายทอง และได้รับทุนสนับสนุนกิจกรรมตลอดปีอีกด้วย



ที่มา


เรื่องและภาพโดย