KiNd Creatures พาคุณผู้อ่านไปดูการตัดสินความผิดของศาลยุโรปในอดีต ที่มีการนำสัตว์หลากหลายชนิดขึ้นศาลไต่สวนความผิดกันอย่างจริงจัง แล้วพวกเขาจะปกป้องตัวเองได้อย่างไร? เรื่องเหล่านี้ระบบตุลาการในอดีตมีคำตอบ ถ้าพร้อมแล้วก็ไปดำดิ่งในโลกแห่งความยุติธรรมกันเลย!
หมู – ฆาตกร
■□
นับตั้งแต่ช่วงต้นปี ค.ศ. 824 จนถึงกลางศตวรรษที่ 18 การขึ้นโรงขึ้นศาลในประวัติศาสตร์ยุโรป ไม่ได้สงวนไว้เฉพาะมนุษย์เท่านั้น หากแต่ยังเป็นสถานที่ที่สัตว์หลายชนิดถูกเรียกตัวขึ้นมาไต่สวน เพราะถูกมนุษย์ฟ้องร้องอยู่บ่อยครั้ง และอย่างที่ทราบกันดีว่าในยุคกลาง (Medieval) สิ่งที่มีอิทธิพลทางความคิดและความเชื่อของมนุษย์มากที่สุดคือ ศาสนา ดังนั้น ศาสนจักรจึงเป็นผู้มีบทบาทอย่างมากในกระบวนการไต่สวนสัตว์ หรือเรียกกันว่า Animal Trials
การไต่สวนสัตว์ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดเกิดขึ้นในวันที่ 5 กันยายน ค.ศ. 1379 ช่วงยุคกลางตอนปลายที่ฝรั่งเศส เมื่อหมูเล้าหนึ่งก่อคดีสะเทือนขวัญ ทำการฆาตกรรมชายนามว่า Perrinot Muet พวกมันถูกตัดสินประหารชีวิตทันที เนื่องจากมีหลักฐานและพยานแวดล้อมชัดเจน
แต่เจ้าของหมูนามว่า Friar Humbert ไม่อาจยอมรับโทษตัดสินประหารหมูในความดูแลของเขาได้ เขาจึงลงมือเขียนจดหมายร้องไปยังท่านดยุกแห่งเบอร์กันดี ขอร้องให้ยกเลิกโทษประหารหมูทั้งเล้า เพราะหากเขาต้องสูญเสียหมูเล้านี้ไป ตัวเขาก็เหมือนคนตายทั้งเป็น และการประหารหมูทั้งเล้าก็ไม่ยุติธรรมเสียเท่าไหร่ เนื่องจากอาจทำให้หมูตัวอื่นที่บังเอิญอยู่ในเหตุการณ์โดนลูกหลงไปด้วยทั้ง ๆ ที่ไม่ได้กระทำผิด
ท่านดยุกจึงสั่งให้เอาผิดหมูเพียง 3 ตัว และปล่อยหมูตัวที่เหลือไปใช้ชีวิตตามอิสระ แต่ก็ไม่มีหลักฐานว่าหมูที่โดนตัดสินโทษประหารชีวิตนั้น พวกเขามีกระบวนการสืบสวนผู้กระทำผิดอย่างไร มีเพียงแต่ร่างอันไหม้เกรียม และหัวที่วางแน่นิ่งอยู่บนลานประหารเท่านั้น
แต่ปัญหาหมูทำร้ายมนุษย์ก็ยังเกิดขึ้นอยู่บ่อยครั้ง ในปี ค.ศ. 1386 ณ เมือง Falaise ประเทศฝรั่งเศส ระหว่างที่หมูสาวกำลังออกหากินอยู่นอกบ้าน ก็บังเอิญเจอเด็กทารกวัยสามเดือนนามว่า Jonnet le Macon เข้า มันเดินตรงปรี่เข้าไปอย่างไม่ลังเล และจัดการกัดกินใบหน้าของเด็กน้อยด้วยความรวดเร็ว กว่าผู้เป็นพ่อและแม่จะมาถึง เด็กน้อยก็สิ้นใจเสียแล้ว
หมูสาวถูกจับไปคุมขังในเรือนจำนอร์มังดีด้วยข้อหากินใบหน้าของเด็กวัยสามเดือนจนเสียชีวิต แต่มันก็มีสิทธิปกป้องตัวเองเช่นกัน ทนายความของหมูสาวปรากฏตัวขึ้นในชั้นศาล เขาพยายามช่วยลูกความอย่างสุดชีวิต แต่ก็ต้องยอมจำนนด้วยหลักฐาน หมูสาวไม่สามารถแก้ต่างให้ตัวเองได้อีกต่อไป โทษประหารคือสิ่งเดียวที่มันได้รับ
ผู้คนนับร้อยกำลังรวมตัวกันอยู่บริเวณลานประหารชีวิต เพื่อเป็นสักขีพยานในการประหารชีวิตหมูฆาตกร บนแท่นประหารมีร่างของหมูเพศเมียนอนแน่นิ่งไม่ขัดขืน ปล่อยให้มนุษย์จัดองค์ทรงเครื่องนำเสื้อผ้าอาภรณ์ชุดใหม่มาใส่ให้มันอย่างเร่งรีบ ผู้คนกำลังโกรธเกรี้ยว เสียงตะโกนด่าทอดังกระหึ่มไปทั่วบริเวณ และแล้วช่วงเวลาสุดท้ายของหมูสาวก็ถึงคราวต้องจบลง เพชรฆาตคว้าเชือกมาคล้องรอบคอของมันอย่างชำนาญ สิ้นเสียงตัดสินโทษประหาร เชือกถูกดึงขึ้นสุดแรง ร่างของผู้กระทำผิดดิ้นทุรนทุรายและแน่นิ่งลงในที่สุด
เสียงตะโกนด่าทอหยุดลง ผู้คนแยกย้ายกลับไปทำหน้าที่ของตน ทิ้งไว้เพียงร่างไร้วิญญาณของหมูเคราะห์ร้าย ซึ่งตามกฎหมายแล้วหมูที่มีความผิดจะถูกปล่อยให้เน่าตาย เนื้อของมันจะไม่ถูกนำมาแจกจ่าย เพราะนี่คือฆาตกร พวกเขาไม่กินเนื้อของฆาตกร…
อีกหนึ่งคดีที่สร้างความเจ็บช้ำให้คนเป็นพ่อเป็นแม่เกิดขึ้นอีกครั้งในวันที่ 14 มิถุนายน ค.ศ. 1494 หมูตัวหนึ่งถูกจับในข้อหา “รัดคอเด็กทารกขณะนอนหลับในเปล” ทารกผู้เคราะห์ร้ายเป็นลูกชายของคนเลี้ยงวัวนามว่า Jehan Lenfant และผู้เป็นแม่นามว่า Gillon
ในระหว่างการพิจารณาคดี พยานหลายคนอ้างว่า “ในเช้าวันอีสเตอร์ พวกเราเห็นพ่อของเด็กออกไปต้อนวัวที่ฟาร์ม ส่วน Gillon เธอมีธุระที่เมือง Dizy เลยไม่ได้เอาลูกไปด้วย แล้วเราก็เห็นหมูตัวหนึ่งเดินเข้าไปในบ้านของพวกเขา เราก็ไม่รู้ว่ามันเข้าไปทำอะไร ที่สำคัญคือ ไม่รู้ว่ามีเด็กทารกนอนอยู่คนเดียวในบ้านด้วย กว่าจะรู้ก็ตอนที่เด็กน้อยถูกหมูกินไปเสียแล้ว…” พยานกล่าว
Photo Credit :the title page of The Criminal Prosecution and Capital Punishment of Animals (1906) by Evans/ archive.org
หลังจากพิจารณาพยานหลักฐานทั้งหมด ผู้พิพากษาจึงเริ่มอ่านคำตัดสิน “เรากำลังอยู่ในยุคแห่งความเกลียดชังและความหวาดกลัว เราไม่อาจเพิกเฉยต่อการก่ออาชญากรรมดังกล่าวได้อีกต่อไป หมูตัวนี้จะต้องถูกประหารชีวิต และระหว่างรอวันประหาร มันจะถูกนำไปคุมขังที่สำนักสงฆ์ เมื่อวันประหารมาถึง เราจะให้เพชรฆาตมือดีที่สุดทำหน้าที่แขวนคอฆาตกรตัวนี้”
คดีความเกี่ยวกับสัตว์ของฝรั่งเศสที่บันทึกไว้มีมากกว่า 200 คดี และหมูก็เป็นหนึ่งในผู้กระทำผิดอันดับต้น ๆ ในยุคนั้น
นอกจากหมูแล้ว ตามบันทึกในหนังสือ The Criminal Prosecution and Capital Punishment of Animals เขียนโดย E.P. Evans ในปี ค.ศ. 1906 ยังมีม้า วัว ลา ปลาไหล สุนัข แกะ และที่น่าประหลาดใจที่สุดคือ โลมา ซึ่งยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่าทำไมโลมาถึงถูกตัดสินประหารที่เมือง Marseille ในปี ค.ศ. 1596
นอกจากฝรั่งเศสที่มีการนำสัตว์ขึ้นโรงขึ้นศาลแล้ว ประเทศใกล้เคียงอย่างอิตาลี สวิตเซอร์แลนด์ และประเทศอื่น ๆ ในยุโรปก็มีความพยายามที่จะนำตั๊กแตน หนู หนอนผีเสื้อ และหอยทาก แม้กระทั่งมอดก็พลอยโดยหางเลขไปด้วย เนื่องจากพวกมันเป็นตัวก่อความวุ่นวายที่หาตัวจับได้ยาก อีกทั้งยังมีผู้สมรู้ร่วมคิดในการทำลายทรัพย์สินและผลผลิตทางการเกษตรของมนุษย์เป็นจำนวนมากอีกด้วย
จากความวุ่นวายที่มีสัตว์เป็นผู้ก่อ ศาสนจักรเห็นว่าพฤติกรรมของสัตว์ควรอยู่ภายใต้กฎหมายเช่นเดียวกับมนุษย์ ดังนั้น การตัดสินคดีส่วนใหญ่จึงถูกแบ่งเป็น 2 ประเภท คือ กลุ่มแรกจะเป็นสัตว์ที่มีพฤติกรรมส่งผลร้ายแรงต่อมนุษย์โดยตรง และกลุ่มที่สองคือสัตว์ที่ชอบรวมตัวกันเป็นฝูงสร้างความเสียหายต่อทรัพย์สินและผลผลิตทางการเกษตร
โดยเจ้าทุกข์จะร้องต่อศาลว่าพื้นที่ทำการเกษตรของตนกำลังถูกคุกคามจากศัตรูพืช ศาลจะแต่งตั้งทนายเพื่อแก้ต่างให้สัตว์ และยื่นเรื่องเข้าสู่ขั้นตอนศาลเป็นการต่อไป จากนั้นข้าราชการฝ่ายราชสำนักจะส่งหมายเรียกโดยใช้น้ำเสียงที่เคร่งขรึมและพูดเสียงดังฟังชัด ในบริเวณที่ผู้ถูกร้องเรียนอาจแวะเวียนผ่านมา สัตว์จำเลยมีโอกาส 3 ครั้งในการปรากฏตัวต่อหน้าศาลและยื่นอุทธรณ์ หากไม่มาปรากฏตัวตามคำสั่งศาล ศาลจะมีอำนาจเนรเทศโดยทันที
Photo Credit :Detail from a page in the Appendix of The Criminal Prosecution and Capital Punishment of Animals (1906) by Evans/ archive.org.jpg
หนู – ผู้บริสุทธิ์ (?)
■□
ในปี ค.ศ. 1522 ทนายความชาวฝรั่งเศสนามว่า Bartholomew Chassenée (เรื่องนี้ถูกนำมาทำภาพยนต์ The Hour of the Pig ในปี ค.ศ. 1993) โดย Chassenée ได้ลุกขึ้นมาแสดงความกล้าหาญ โดยการปกป้องลูกความนั่นคือ หนู เป็นครั้งแรก เขาอ้างว่า “หนูไม่ได้ทำผิดกฎหมาย การจะบอกว่าหนูเป็นผู้สร้างความเสียหายให้แก่พืชผลทางการเกษตรโดยเฉพาะข้าวบาร์เลย์ ผมว่านั่นคงเป็นคำกล่าวอ้างที่เกินจริง”
เขายังยืนยันหนักแน่นว่า “หากท่านอยากให้การพิจารณาคดีเกิดความเป็นธรรมที่สุด ลูกความของผมควรได้รับโอกาสในการมาแก้ต่างความผิดของพวกเขาด้วยตนเอง แต่มันคงเป็นไปไม่ได้ที่ลูกความของผมจะปรากฏตัวในศาลแห่งนี้ เพราะพวกเขาไม่มีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง การจะเดินทางมาคงลำบากไม่น้อย อีกทั้งยังต้องระแวดระวังแมวที่จ้องทำร้ายอยู่ทุกซอกทุกมุมถนน ผมไม่อยากให้ลูกความของผมได้รับบาดเจ็บครับท่าน ศาลที่เคารพ” จากคำกล่าวอ้างของ Chassenée ผู้พิพากษาจึงต้องเลื่อนการพิจารณาคดี เพื่อแสดงถึงความเที่ยงธรรมที่ศาลมีให้ต่อสิ่งมีชีวิตทุกสายพันธุ์ แต่ท้ายที่สุดแล้วคดีนี้ก็ถูกตีตกไป แน่นอนว่าการตัดสินดังกล่าวสร้างความไม่พอใจให้แก่ชาวเมืองไม่น้อย
Photo Credit :A page from The criminal prosecution and capital punishment of animals by Evans/ archive.org
นอกจากหนูที่ชนะคดีที่มนุษย์ทำการฟ้องร้องแล้ว อีกหนึ่งกรณีเกิดขึ้นกับ “ลา” ในปี ค.ศ. 1722 ชายนามว่า Jacques Ferron กับลาตัวเมีย ถูกฟ้องร้องในข้อหาฆ่าสัตว์ป่า ศาลตัดสินประหารชีวิตทั้งคู่ทันที แต่ประชาชนเมือง Vanvres เชื่อว่าพวกเขาไม่ได้กระทำผิด ชาวเมืองจึงร่วมลงชื่อคัดค้านคำตัดสินของศาล โดยยืนยันว่า พวกเขารู้จักทั้งคู่มา 4 ปีแล้ว ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ทั้ง Ferron และลาตัวเมียของเขา ประพฤติตัวดีตลอด พวกเขามีคุณธรรม ศีลธรรมก็ล้นหลาม พวกเราขอคัดค้านโทษประหารชีวิต ได้โปรดยกเลิกโทษประหารให้พวกเขาด้วย! เมื่อมีพยานยืนกรานถึงคุณงามความดีของทั้งคู่ ศาลจึงยกเลิกโทษประหารชีวิตและตัดสินให้ทั้งคู่เป็นผู้บริสุทธิ์
ทำไมสัตว์ต้องอยู่ภายใต้กฎหมาย?
■□
นักวิชาการในยุคแรกนำแนวคิดปฏิฐานนิยม (Positivism) มาใช้วิเคราะห์ โดยมองว่า การไต่สวนสัตว์ ซึ่งเป็นสิ่งมีชีวิตที่ไร้เหตุผลนั้น เป็นเรื่องปกติที่มักเกิดขึ้นในกลุ่มสังคมที่มีความแตกต่างกันทั้งทางกายภาพและชีวภาพ แต่ในเวลาต่อมาพวกเขาก็ละทิ้งแนวคิดดังกล่าว และมุ่งเน้นไปที่ “ศีลธรรม” หรือ “เจตนา” ที่มีผลต่อสัตว์ และนำบริบททางสังคมวิทยาและประวัติศาสตร์มาร่วมวิเคราะห์ (Phenomenology) เพื่อให้เข้าใจถึงเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นในอดีต
โดยเริ่มมุ่งเน้นไปที่แนวคิดเรื่อง Great Chain of Being มากขึ้น พวกเขาถือว่าสวรรค์และจักรวาล โลก และสรรพสิ่งทางธรรมชาติ มีความข้องเกี่ยวกัน ทั้งสองส่วนล้วนอยู่ภายใต้ความประสงค์ของพระเจ้า ฉะนั้น
การทำร้ายมนุษย์ถูกมองว่าเป็นการทำลายห่วงโซ่อันยิ่งใหญ่ ซึ่งถือว่าเป็นการกระทำที่ไม่อาจให้อภัย เพราะโลกในความเป็นจริงกับโลกทางจิตวิญญาณถือเป็นหนึ่งเดียวกัน สัตว์จะต้องได้รับการไต่สวนภายใต้อาณัติของพระเจ้า
ขณะที่นักสังคมวิทยา Piers Beirne กล่าวว่า การไต่สวนสัตว์มีลักษณะที่แตกต่างกันในแต่ละกรณี ทั่วโลกกำลังใช้วิธีการดังกล่าวมากดทับสัตว์ โดยไม่สนใจข้อเท็จจริงที่สัตว์เป็นผู้ถูกกระทำ หากข้อเท็จจริงปรากฏขึ้น พวกเขาก็จะหยิบยกค่านิยมของแต่ละพื้นที่ขึ้นมา ซึ่งการนำข้อเท็จจริงมาร่วมพิจารณาย่อมมีความแตกต่างกันไป ไม่ว่าจะเป็นทั้งทางโลก ศาสนา ชาติพันธุ์ ชนชั้น เพศสภาพ และปัจจัยอื่น ๆ เป็นต้น
ส่วนนักวิเคราะห์ทางเศรษฐศาสตร์ Peter T. Leeson ได้เผยทฤษฎีที่มีความเชื่อมโยงระหว่างคริสตจักรและค่าธรรมเนียมในการไต่สวนสัตว์ในยุคกลางว่า หากเกิดการไต่สวนสัตว์ย่อมเป็นแหล่งรายได้ชั้นดีให้คริสตจักร เนื่องจากคดีเหล่านี้มีกระบวนการไต่สวนที่ง่ายและรวดเร็ว
Photo Credit :Medieval animals acting as humans/ British Library MS Royal 10 E.IV, f.48v
ซึ่งค่าธรรมเนียมศาลจะตกเป็นของคริสตจักร และชาวยุโรปในอดีตก็มีความศรัทธาในพระเจ้าสูง การที่คริสตจักรเข้ามามีส่วนร่วมในการพิจารณาคดี ย่อมทำให้พวกเขารู้สึกผิดบาปน้อยลง เพราะพวกเขาไม่ต้องลงมือสังหารสัตว์เหล่านี้ด้วยตนเอง ความยุติธรรมในศาลถือว่าเป็นความประสงค์ของพระเจ้า คำตัดสินของศาลจึงถือว่ามีความชอบธรรมและไม่อาจปฏิเสธได้
แม้การกระทำของชาวยุโรปในอดีต จะเป็นเรื่องที่ค่อนข้างแปลกไปเสียหน่อย แต่นี่อาจเป็นจุดเริ่มต้นของการคำนึงถึง “สิทธิ” และ “สวัสดิภาพ” ของสัตว์ในปัจจุบันก็เป็นได้
เมื่อสัตว์มีพื้นที่ในระบบยุติธรรม สังคมก็จะมองถึงความเท่าเทียมระหว่างคนและสัตว์มากขึ้น เช่น รณรงค์ต่อต้านแบรนด์ต่าง ๆ ที่มีการนำผลิตภัณฑ์ไปทดลองทางวิทยาศาสตร์ในสัตว์ ไม่สนับสนุนยาหรือเครื่องสำอางที่ทดลองในสัตว์ รวมถึงรณรงค์ไม่ให้มีการทารุณกรรมสัตว์ในอุตสาหกรรมต่าง ๆ โดยเฉพาะอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว
สำหรับประเทศไทยเอง ก็มีกฎหมายคุ้มครองสัตว์ฉบับแรกเมื่อวันที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2557 เช่นกัน คือ พ.ร.บ.ป้องกันการทารุณกรรมและการจัดสวัสดิภาพสัตว์ นี่อาจเป็นการสร้างบรรทัดฐานใหม่ ๆ ที่มนุษย์เรามีต่อชีวิตสัตว์ แต่ท้ายที่สุดแล้ว การนำกรอบความยุติธรรมในสังคมมนุษย์มาครอบสัตว์ ซึ่งเป็นสิ่งมีชีวิตที่เราไม่รู้เลยว่า เขาเข้าใจมนุษย์ได้ลึกซึ้งแค่ไหน และการนำสัตว์ไปขึ้นศาล เพื่อแสดงความยุติธรรมในโลกมนุษย์ จะเป็นการละเมิดสิทธิสัตว์หรือไม่? พวกเขายินยอมที่จะเข้าร่วมพิจารณาคดีจริงหรือ? หรือมนุษย์ทำไปเพื่อ “สร้าง” ความยุติธรรมขึ้นมา เพื่อไม่ให้รู้สึกผิดบาป หรือทำไปเพราะเป็นกระบวนการที่มนุษย์ทำเป็นเรื่องปกติ สัตว์ก็ต้องปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ของมนุษย์ด้วยเช่นกัน? เราคงไม่อาจรู้ได้แน่ชัดว่า อะไรคือสิ่งที่สัตว์ต้องการจริง ๆ …
ที่มา
- ความยุติธรรม (Justice): มิติแห่งอุดมคติและความเป็นจริง. http://old-book.ru.ac.th
- 1386: The Sow of Falaise, seeing justice done. www.executedtoday.com/the-sow-of-falaise-seeing-justice-done-podcast
- Human Drama, Animal Trials: What The Medieval Animal Trials Can Teach Us About Justice For Animals. www.animallaw.info
- Fantastically Wrong: Europe’s Insane History of Putting Animals on Trial and Executing Them. www.wired.com
- Medieval Animal Trials. www.medievalists.net/
- Six of The The Criminal Prosecution and Capital Punishment of Animals.https://archive.org/details
- The Truth and Myth Behind Animal Trials in the Middle Ages. www.atlasobscura.com/the-truth-and-myth-behind-animal-trials
- When Societies Put Animals on Trial. https://daily.jstor.org
- Strangest Hangings. https://brightonsource.co.uk/features