ขณะเดินอยู่ในป่า หลังจากถ่ายภาพกล้วยไม้ป่า แมลงและผีเสื้อ เสียงเพื่อนพูดตามหลังแว่วเข้าหู ‘หาผีเสื้อนาโบคอฟอยู่หรือเปล่า’ เรานึกว่าเพื่อนพูดเล่น ‘วลาดีมีร์ นาโบคอฟ นักเขียนอ่ะนะพี่ เขาสะสมผีเสื้อด้วย?’ ‘ใช่นักเขียนคนนั้นแหละ เค้าเคยให้สัมภาษณ์ว่าถ้าไม่เกิดการปฏิวัติขึ้นในรัสเซีย เค้าคงไม่มีทางเป็นนักเขียน เค้าคงเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านผีเสื้ออย่างแน่นอน’
“It is not improbable that had there been no revolution in Russia, I would have devoted myself entirely to lepidopterology and never written any novels at all.”
Valdimir Nabokov in an interview with Herbert Gold published in “Vladimir Nabokov, The Art of Fiction No. 40″ The Paris Review, No. 41. 1967
นี่เป็นจุดเริ่มต้นให้เราไปค้นว่าคุณนาโบคอฟเค้าคลั่งไคล้ ‘ผีเสื้อ’ แค่ไหน
Photo Credit: © Philippe Halsman | Magnum Photos
ภาพวาดผีเสื้อ
—
“In high art and pure science detail is everything.”
Vladimir Nabokov in Strong Opinions (1973)
นาโบคอฟชอบวาดรูปผีเสื้อ (ที่ถูกต้องตามหลักทางวิทยาศาสตร์) ลงบนหนังสือที่มอบเป็นของขวัญให้ใครต่อใคร และหนังสือเล่มแรกที่เค้าวาดรูปผีเสื้อให้ คือหนังสือที่มอบให้กับเวร่า (Véra) ภรรยาสุดที่รักของเขา และในอีกหลาย ๆ เล่ม ถ้าอยากหาดูภาพวาดแบบรวมผีเสื้อของนาโบคอฟ ก็สามารถตามไปอ่านได้ในหนังสือชื่อ Véra’s butterflies: First Editions by Vladimir Nabokov Inscribed to His Wife (1999) ซึ่งยังพอหาดูออนไลน์ได้ หรือถ้าสนใจก็สั่งซื้อในเว็บขายหนังสือได้เช่นกัน
Photo Credit: Courtesy of the Cornell University Insect Collection; photograph by Jenny Leijonhufvud (Cornell University Library) Photo Credit: Courtesy of the Cornell University Insect Collection; photograph by Jenny Leijonhufvud (Cornell University Library)
ภาพสเก็ตช์ผีเสื้อที่นาโบคอฟบรรจงวาดลงหนังสือให้ภรรยาและใครต่อใคร ไม่ใช่จุดเริ่มต้นของความคลั่งไคล้ผีเสื้อของเขา แท้จริงแล้วต้องย้อนกลับไปตั้งแต่ตอนอายุห้าขวบ วัยเยาว์แสนสดใสของนักเขียนคนสำคัญแห่งศตวรรษที่ 20 ท่านนี้ เริ่มที่ประเทศรัสเซียบ้านเกิด (เขาเกิดในปี ค.ศ. 1899 ที่เมือง St. Petersburg ในครอบครัวมั่งคั่งและมีชื่อเสียง) ในบทความ Butterflies. The childhood of a lepidopterist ที่เขาเขียนเอง ตีพิมพ์ลงในนิตยสาร The New Yorker ในปี 1948 บอกเล่าถึงความทรงจำในวัยเยาว์ ณ บ้านพักของครอบครัวที่เมือง Vyra กับความสนใจในผีเสื้อ เค้าวิ่งออกไปไล่จับผีเสื้อด้วยหมวกแก๊ป ผีเสื้อแห่งแรงบันดาลใจตัวแรก ๆ ที่จับได้คือ ผีเสื้อวงศ์หางติ่ง (Swallowtail Butterfly) สีเหลือง น้ำเงิน และดำ นั่นเป็นจุดเริ่มต้นของความสนใจในผีเสื้อของเด็กน้อย ต่อมาเมื่ออายุ 9 ขวบ ในห้องใต้หลังคาเขาค้นพบหนังสือ ภาพพิมพ์ ของสะสมต่าง ๆ ผนวกกับการที่คุณยายของเขาก็คลั่งไคล้ในวิทยาศาสตร์ธรรมชาติ ถึงขนาดจ้างอาจารย์สอนวิชาสัตววิทยา (Zoology) จากมหาวิทยาลัยมาสอนแม่ของเขา นั่นเป็นต้นทางของแหล่งความรู้ผ่านการอ่าน ‘หนังสือ’ ของสะสมของครอบครัว ที่เป็นรากฐานความรู้ทางวิทยาศาสตร์และการเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านผีเสื้อให้กับนาโบคอฟ
Photo Credit: Nabokov Museum
หลังจากเกิดการปฏิวัติในรัสเซีย (ช่วงปี 1917–1923) ครอบครัวของนาโบคอฟย้ายมาพำนักที่เบอร์ลิน เขาและน้องชายเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ (Cambridge University) แห่งสหราชอาณาจักร นาโบคอฟเลือกเรียนวิชาสัตววิทยา (Zoology) ในปีแรกก่อนจะย้ายมาเรียนเอกวรรณกรรมรัสเซียและฝรั่งเศส ขณะที่เรียนและเมื่อเรียนจบแล้วเค้าก็ยังผลิตงานเขียนทางกีฏวิทยาตีพิมพ์ออกมาเช่นกัน
ช่วงเวลาสำคัญทางการศึกษาด้านผีเสื้อเข้มข้นขึ้นเมื่อเขามาเป็นศาสตราจารย์สอนวรรณกรรมรัสเซียที่มหาวิทยาลัยคอร์เนล (Cornell University) ประเทศสหรัฐอเมริกา ทุกวันหยุดช่วงฤดูร้อน เขาและภรรยาจะหอบข้าวของขึ้นรถขับออกไปทางตะวันตกของสหรัฐ เพื่อสำรวจและสะสมผีเสื้อ ในฤดูร้อนปี 1948 ขณะที่เริ่มเขียนดราฟต์แรกของวรรณกรรมชื่อดังอย่าง Lolita เค้าก็เขียนมันไปพร้อม ๆ กับการเก็บข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ของผีเสื้อที่เค้าจับได้
Photo Credit: © Philippe Halsman | Magnum Photos Photo Credit: Carl Mydans Time & Life Pictures/Shutterstock
นาโบคอฟย้ายมาอาศัยและสอนหนังสือที่อเมริกาในช่วงอายุปลายสี่สิบ ผีเสื้อในประเทศนี้สร้างแรงบันดาลใจให้เค้าค้นคว้า สะสม ตั้งชื่อ ตรวจสอบ สร้างอนุกรมวิธาน และอนุรักษ์อย่างจริงจัง ความคลั่งไคล้นี้นำมาซึ่งการศึกษากำเนิดของผีเสื้อวงศ์หนึ่ง ขณะที่นาโบคอฟทำงานเป็นคิวเรเตอร์อยู่ที่ Harvard’s Museum of Comparative Zoology (MCZ) ในช่วงปี 1941-1948 เขาใช้เวลากว่า 14 ชั่วโมงนั่งอยู่หน้ากล้องจุลทรรศน์ในห้องแล็บของ MCZ เป็นช่วงที่ทำให้สายตาเขาเสียไปอย่างมาก นาโบคอฟค้นพบว่าผีเสื้อสกุล Polyommatus ในวงศ์ Lycaenidae (วงศ์ผีเสื้อสีน้ำเงิน) นั้นมีที่มาที่น่าสนใจ กอปรกับข้อสงสัยที่เป็นปริศนาถึงที่มาของผีเสื้อวงศ์นี้ ที่มีชื่อเรียกอีกแบบว่า American Blues ซึ่งยังไม่ได้รับการจัดลำดับที่ถูกต้องว่ามาจากไหน อพยพกันอย่างไร นาโบคอฟคือผู้บุกเบิกคนสำคัญของวงการการศึกษาผีเสื้อ โดยเรียบเรียงอนุกรมวิธาน วาดภาพ และสะสมผีเสื้อจำนวนมาก ก่อนมอบให้กับมหาวิทยาลัยคอร์เนลได้ใช้ประโยชน์ เพื่อส่งต่อความรู้ให้กับผู้สนใจในผีเสื้อและกีฏวิทยารุ่นหลัง
ผีเสื้อสีน้ำเงินมาจากไหน
—
ผีเสื้อสีน้ำเงิน (Blues) เป็นผีเสื้อขนาดเล็กสีสันสดใสเปี่ยมเสน่ห์ สามารถพบได้ในทวีปยูเรเชีย (ทวีปที่รวมทวีปยุโรปและทวีปเอเชียเข้าด้วยกัน) ทวีปแอฟริกาเหนือ และทวีปอเมริกา การค้นพบและสร้างระบบอนุกรมวิธานของนาโบคอฟ ถึงการย้ายถิ่นฐานและวิวัฒนาการของผีเสื้อสกุล Polyommatus (วงศ์ผีเสื้อน้ำเงิน Lycaenidae) ได้รับการตรวจสอบและยอมรับจากนักวิทยาศาสตร์แล้วว่าถูกต้อง คือการค้นพบว่า ด้วยสภาพอุณหภูมิและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศทำให้ผีเสื้อสกุล Polyommatus มีการอพยพย้ายถิ่นฐานจากฝั่งเอเชียสู่อเมริกาเหนือ โดยบินข้ามผ่านช่องแคบเบริง (Bering Strait คือช่องทะเลเล็ก ๆ ระหว่างแหลมเดจเนฟ (Dezhnev Cape) ประเทศรัสเซียในจุดที่ตะวันออกที่สุดของทวีปเอเชีย กับแหลม Prince of Wales ในอลาสกา ซึ่งเป็นจุดที่ตะวันตกที่สุดในทวีปอเมริกาเหนือ ที่อยู่ค่อนมาทางใต้เส้น Arctic Circle เล็กน้อย ช่องแคบเบริงเป็นช่องแคบที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ส่วนที่มาของชื่อช่องแคบเบริง ได้มาจากชื่อนักสำรวจชาวเดนมาร์ก Vitus Bering ที่ประจำในกองทัพรัสเซียและได้เดินทางผ่านช่องแคบนี้ในปี 1728)
Photo Credit: Courtesy of the Cornell University Insect Collection; photograph by Jenny Leijonhufvud (Cornell University Library)
การสร้างระบบและจำแนกอนุกรมวิธานของนาโบคอฟถือเป็นหมุดหมายสำคัญให้กับนักวิทยาศาสตร์ที่ศึกษาผีเสื้อและกีฏวิทยารุ่นหลัง ๆ เป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะผลงานการตีพิมพ์เอกสารสำคัญทางวิชาการ 3 ฉบับ คือ ‘The Nearctic forms of Lycædies Hübner’ ที่ตีพิมพ์ในปี 1943 มีเนื้อหาแนะนำการสร้างระบบอนุกรมวิธานแบบนาโบคอฟ และฉบับที่ตีพิมพ์ในปี 1945 ‘Notes on Neotropical Plebejinæ’ ที่มีเนื้อหาเจาะลึกถึงสัณฐานวิทยา (Morphology) โดยศึกษาไปถึงรูปพรรณสัณฐานภายนอก คุณสมบัติเฉพาะ และวิวัฒนาการของผีเสื้อสีน้ำเงิน เอกสารวิชาการเล่มสุดท้ายได้รับการยกย่องและเป็นที่ยอมรับในวงการศึกษาผีเสื้อคือ ‘The Nearctic members of the genus Lycædies Hübner’ ตีพิมพ์ในปี 1949 โดยรวบรวมจำนวนสกุลของผีเสื้อสีน้ำเงินที่อพยพจากเอเชียสู่อเมริกาเหนือฉบับสมบูรณ์
Nabokov’s Blue
—
ปีกสีน้ำเงินหลากเฉดของผีเสื้อสกุล Polyommatus Blues บางครั้งก็มีเฉดสีเมทาลิกผสมอยู่ สีที่ส่องประกายสวยงามออกมานี้ไม่ได้มาจากเม็ดสี แต่มาจากโครงสร้างขนาดเล็กมากในปีกผีเสื้อเอง แท้จริงแล้วปีกของผีเสื้อและมอธถูกคลุมไว้ด้วยเกล็ดที่วางซ้อนกันคล้ายหลังคาบ้าน ช่องว่างเล็ก ๆ ระหว่างเกล็ดนั้นสะท้อนแสงออกมาได้สวยงามอย่างน่าประหลาดใจ ซึ่งสีน้ำเงิน(หรือฟ้า) ที่เราเห็นจากปีกผีเสื้อก็เป็นผลจากการสะท้อนกันของเกล็ดเล็ก ๆ ที่ทับซ้อนกันนี้
ปีกสีรุ้งเหล่านี้ไม่ได้มีเพื่อความสวยงามอย่างเดียว หากแต่เป็นอวัยวะที่ช่วยให้ผีเสื้อเอาตัวรอดจากธรรมชาติแสนโหดร้าย แค่รูปแบบของปีกที่เป็นลอนคลื่นอย่างเดียวก็ทำให้จับตัวได้ยากแล้ว แต่ผิวหน้าของปีกที่สามารถสะท้อนแสงในธรรมชาติ ยังทำให้ศัตรูผู้ล่าจับตัวได้ยากขึ้นไปอีก เพราะบางครั้งปีกสีรุ้งเหล่านี้ก็ช่วยให้เรามองพวกมันไม่เห็น และโดยเฉพาะตัวผู้ ด้านบนของปีกจะมีสีน้ำเงินสวยเด่น ส่วนผีเสื้อสีน้ำเงินวงศ์ย่อยด้านในปีกอาจเป็นสีอื่น เช่นสีน้ำตาลอ่อนแต้มจุดดำ หรือแต่งแต้มด้วยสีส้มหรือน้ำเงิน
Photo Credit: Stefan Schweihofer from Pixabay
หลายคนอาจไม่ทราบว่า จริง ๆ แล้วผีเสื้อสีน้ำเงินนั้นมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับมด เพราะขณะที่เป็นตัวอ่อน ผีเสื้อสีน้ำเงินซึ่งมีต่อมผลิตน้ำหวาน (Honey Gland) แบบพิเศษที่สามารถปล่อยน้ำหวานหรือบางครั้งก็เป็นกรดอะมิโนอันดึงดูดให้มดมาดื่มกิน ขณะที่นักวิทยาศาสตร์เองก็ยังหาไม่เจอว่ามดให้ประโยชน์โดยตรงอันใดแก่ผีเสื้อบ้าง แต่เชื่อว่าการที่ผีเสื้อสีน้ำเงินได้ให้น้ำหวานเป็นอาหารแก่มด คือการช่วยป้องกันตัวอ่อนทางอ้อมจากผู้ล่าและปรสิตต่าง ๆ ผีเสื้อสีน้ำเงินที่ชื่นชอบความสัมพันธ์แบบนี้กับเหล่ามดมากคือ ผีเสื้อที่ชื่อ Nabokov’s Blue (Nabokov’s Blue: Plebejus idas nabokovi (Masters 1972))
ตัวอ่อนของผีเสื้อสีน้ำเงิน Nabokov’s Blue นอกจากจะมีเสน่ห์และได้รับความสนอกสนใจจากมดแล้ว บางครั้งผีเสื้อพันธุ์นี้ก็แอบเลียนแบบฟีโรโมนของมดด้วยเช่นกัน แม้ว่าจะไม่ได้รับความช่วยเหลืออื่นใดกลับจากเหล่ามด แต่ตัวอ่อนเหล่านี้ก็สามารถป้องกันภยันตรายจากสัตว์ผู้ล่าและปรสิตต่าง ๆ ได้ด้วยตัวเอง
Photo Credit: Carl Mydans Time & Life Pictures/Shutterstock Photo Credit: Carl Mydans Time & Life Pictures/Shutterstock
ผีเสื้อ Nabokov’s Blue ถูกค้นพบและจัดลำดับลงอนุกรมครั้งแรก เมื่อครั้งที่นาโบคอฟได้รับตัวอย่างมาจาก Louis Grewisch ผู้เป็นคนแรกที่รายงานการค้นพบผีเสื้อชนิดนี้ที่ Wisconsin ลักษณะของผีเสื้อ Nabokov’s Blue นั้นใกล้เคียงกับญาติทางสายพันธุ์คือผีเสื้อ Karner Blue และ Melissa Blue ในปี 1972 ผีเสื้อ Plebejus idas nabokovi ถูกตั้งขึ้นเพื่อแบ่งแยกสายพันธุ์เป็นชนิดย่อย และเพื่อเป็นเกียรติให้กับนาโบคอฟ
Nabokov 1944
—
Photo Credit: Photo by Jill Utrup/USFWS
Karner Blue: Plebejus samuelis (Nabokov 1944)
แล้วผีเสื้อสีน้ำเงินที่นาโบคอฟตั้งชื่อให้เองล่ะ เป็นผีเสื้อชื่ออะไร?
“A score of small butterflies, all of one kind, were settled on a damp patch of sand, their wings erect and closed, showing their pale undersides with dark dots and tiny orange-rimmed peacock spots along the hindwing margins… revealing the celestial hue of their upper surface … fluttered around like blue snowflakes before settling again.”
Pnin (1957) describing a group of Karner Blues
ผีเสื้อ Karner Blue ปรากฏครั้งแรกในเอกสารทางวิชาการที่นาโบคอฟเขียน ‘The Nearctic forms of Lycædies Hübner’ ตีพิมพ์ในปี 1943 ชื่อ ‘Karner’ ถูกตั้งขึ้นในวงศ์ Lycaeides melissa samuelis ซึ่งเป็นผีเสื้อสีฟ้าชนิดย่อยของพันธุ์ melissa ซึ่งต่อมานาโบคอฟยกระดับให้ Karner เป็นสายพันธุ์ของตัวเองและถูกจำแนกอยู่ในสกุล Plebejus
อย่างไรก็ตามผีเสื้อ Karner Blue เองก็ยังไม่ได้รับการพิสูจน์สายพันธุ์ในช่วงเวลาที่นาโบคอฟยังมีชีวิตอยู่ ซึ่งการได้รับการยอมรับในสายพันธุ์นี้ก็ยังได้รับการตรวจสอบ DNA อยู่เรื่อย ๆ จนกระทั่งในปี 2010 Matthew L. Forister จากมหาวิทยาลัยมหาวิทยาลัยเนวาดา รีโน (Nevada, Reno) ร่วมกับนักเขียน นักวิจัยอีกหลายท่าน ได้โชว์หลักฐานว่าผีเสื้อสีน้ำเงิน Karner นั้นชัดเจนว่ามีสายสัมพันธ์กับสายพันธ์ุ P. idas และ P. mellisa และนี่เป็นการยืนยันว่าสายพันธุ์ Plebejus samuelis ของนาโบคอฟนั้นควรอยู่ในคลาสของผีเสื้อเดียวกัน (และทั้งหมดอยู่ในวงศ์ Lycaenidae)
นาโบคอฟจับผีเสื้อ Karner Blue ได้ครั้งแรกในช่วงเดือนมิถุนายนปี 1950 ระหว่างการเดินทางจากบอสตัน (Boston) ไปอีทากา (Ithaca) ในช่วงเวลานั้นผีเสื้อสีน้ำเงินพันธุ์นี้ยังมีอยู่เป็นจำนวนมาก แต่ไม่นานจำนวนประชากรผีเสื้อพันธุ์นี้ก็ลดจำนวนลงอย่างน่าใจหาย จนในที่สุดทาง U.S. Endangered Species Lisit ก็ประกาศถึงความจำเป็นในการอนุรักษ์ผีเสื้อสายพันธุ์นี้ในปี 1979 และได้ประกาศอย่างเป็นทางการถึงความจำเป็นเร่งด่วนในการอนุรักษ์ในปี 1992 การตระหนักรู้ถึงการลดลงอย่างมีนัยสำคัญของผีเสื้อสีน้ำเงินพันธุ์นี้ คือสิ่งที่โลกต้องขอบคุณนาโบคอฟที่ช่วยสร้างความตระหนักรู้ และสร้างความเคลื่อนไหวในการช่วยเหลือให้นักธรรมชาติวิทยาและบุคคลทั่วไปได้รับรู้และช่วยกันป้องกันไม่ให้ผีเสื้อน้ำเงินชนิดนี้สูญพันธุ์
Photo Credit: Courtesy of the Cornell University Insect Collection; photograph by Jenny Leijonhufvud (Cornell University Library)
เราสามารถเจอผีเสื้อ Karner Blue ได้แถวป่าดิบสนขนาดใหญ่ที่นิวเจอร์ซี (Pine Barrens) ทุ่งหญ้าโอ๊ค (Oak Savannas) และพื้นที่ป่าเปิดที่มีต้นลูพินป่า (Wild Blue Lupine หรือ Lupinus perennial) ใบของต้นลูพิน คือแหล่งอาหารเพียงแหล่งหนึ่งเดียวของตัวอ่อนผีเสื้อ Karner Blue ซึ่งข้อจำกัดของแหล่งอาหารนี้ นับเป็นปัจจัยหนึ่งของความเสี่ยงในการสูญพันธุ์ของผีเสื้อพันธุ์นี้ ในปัจจุบันที่โลกเผชิญปัญหาการเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศ ขณะที่ผีเสื้อ Karner Blue ที่โตแล้วจะมีชีวิตอยู่แค่เพียง 5 วัน ช่วงเวลาแสนสั้นนี้ผีเสื้อหนุ่มต้องรีบจีบสาวและขยายพันธุ์ และแม่ผีเสื้อก็ต้องรีบหาใบลูพินในการวางไข่ให้ลูก ๆ ของพวกมันได้อยู่รอดเติบโตเป็นหนอนผีเสื้อต่อไป นาโบคอฟเองก็ตระหนักถึงความเสี่ยงในการดำรงชีวิตอยู่ของผีเสื้อพันธุ์นี้ที่ต้องเผชิญความยากลำบากในการหาที่อยู่ วางไข่ ในขณะที่ป่าเฉพาะที่เหมาะสมกับการวางไข่และอยู่อาศัยของมันนั้นก็ถูกความเจริญของมนุษย์ เข้าแทรกแซงอย่างการตัดไม้ทำลายป่า ไฟป่า ภาวะโลกร้อน อากาศที่อุ่นขึ้นก็สามารถทำให้การวางไข่ของผีเสื้อ Karner Blue ไม่สามารถสำเร็จอยู่รอดเติบโตจนเป็นหนอนได้ เพราะฉะนั้นการอนุรักษ์ผีเสื้อ Karner Blue จึงไม่ใช่แค่การสร้างความตระหนักรู้ถึงความเสี่ยงในการสูญพันธุ์ของผีเสื้อแต่เพียงอย่างเดียว แต่ยังกินความลึกไปถึงการอนุรักษ์ธรรมชาติ ผืนป่า ระบบนิเวศทั้งมวลของสิ่งมีชีวิตที่ต้องเกื้อกูลอาศัยกัน
ผีเสื้อในวรรณกรรม
—
“I cannot separate the aesthetic pleasure of seeing a butterfly and the scientific pleasure of knowing what it is.”
Vladimir Nabokov in an interview with Sports Illustrated, 1959
ชีวิตที่ลุ่มหลงในผีเสื้อของนาโบคอฟตั้งแต่วัยเยาว์ดำเนินไปด้วยความหลงใหลใคร่รู้ ผนวกกับความชื่นชอบในวิชาวิทยาศาสตร์ จวบวันที่นักเขียนคนดังจากไป ชีวิตของนาโบคอฟคั่นกลางด้วยการเรียนและเขียนวรรณกรรม ซึ่งนับเป็นความโชคดีของโลกวรรณกรรม เพราะเขาได้สร้างคุณูปการทิ้งไว้ให้โลกไม่แพ้กับการมุ่งมั่นศึกษาชีวิตของผีเสื้อ ในปี 1926-1938 สิบสองปีที่เขาใช้เวลาลงมือเขียนนวนิยายครั้งแรกในชีวิตถึง 9 เล่ม และทั้งหมดเขียนเป็นภาษารัสเซีย ในช่วงว่าง 10 ปีระหว่างที่รอให้ King, Queen, Knave แปลเป็นภาษาเยอรมัน นาโบคอฟและเวร่า ได้ใช้เวลาว่างราวสี่เดือนออกเดินทางสำรวจและสะสมผีเสื้อที่ฝรั่งเศสอย่างมุ่งมั่น
Pnin ถูกตีพิมพ์ในปี 1957 ในนวนิยายเล่มนี้นาโบคอฟก็ยังใส่คำอธิบายถึงผีเสื้อสีน้ำเงิน Karner แม้ยังไม่ได้ตั้งชื่อ Karner อย่างเป็นทางการก็ตาม
Photo Credit: sothebys.com Photo Credit: sothebys.com
ในปี 1958 Lolita นวนิยายที่สร้างชื่อเสียงให้เขาล้นหลามได้รับการตีพิมพ์ครั้งแรกในสหรัฐอเมริกา ท่ามกลางช่วงเวลาที่เขาเขียนและตีพิมพ์ผลงานนวนิยาย นาโบคอฟและภรรยาก็ออกเดินทางสำรวจ และสะสมผีเสื้ออย่างไม่เหน็ดเหนื่อยเช่นกัน
Pale Fire ตีพิมพ์ขึ้นในปี 1962 ในเล่มมีอ้างอิงถึงผีเสื้อ Toothwort White (หรือเรียกอีกชื่อว่า West Virginia White) และผีเสื้อ Red Admiral กับ Victorian ในปี 1969 Ada, or Ador: A Family Chronicle ได้รับการตีพิมพ์ เป็นครั้งแรก และคาแรกเตอร์ Ada นั้นใฝ่ฝันอยากเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านผีเสื้อ (Lepidopterist)
Photo Credit: Carl Mydans Time & Life Pictures/Shutterstock
เรื่องราวความคลั่งไคล้ในผีเสื้อของนักเขียนคนสำคัญแห่งศตวรรษที่ 20 อย่าง วลาดีมีร์ นาโบคอฟ แสดงให้โลก(และเรา)เห็นชัดเจนว่า ความลุ่มหลงในสิ่งที่เรารักนั้นมีได้มากกว่า 1 อย่าง แค่ขอให้หลงใหลใส่ใจอย่างจริงจัง อย่างนาโบคอฟที่คลั่งไคล้ในผีเสื้อตั้งแต่แรกเห็นในวัยเยาว์ เมื่อเติบโตขึ้นแม้จะได้ศึกษาการเขียนอ่านวรรณกรรมเพิ่ม เขาก็ผลิตงานเขียนออกมาได้ดีเยี่ยมไม่แพ้กับการศึกษาผีเสื้อ แน่นอนว่าต้นทุนชีวิตของนาโบคอฟนั้นเรียกได้ว่าเกิดมาบนกองเงินกองทอง เขาจึงสามารถทำในสิ่งที่อยากทำได้อย่างไม่มีข้อจำกัดมากมายนัก อย่างไรก็ตาม คุณูปการทางวิทยาศาสตร์ของการศึกษาผีเสื้อ และคุณค่าทางศิลปศาสตร์จากวรรณกรรมของเขา ทั้งหมดคือขุมทรัพย์ทางปัญญาที่ยังประโยชน์ไว้ให้กับคนรุ่นหลังได้ใช้ศึกษาจวบจนปัจจุบัน
ที่มา
- From Nabokov’s Net. Online Exhibition, Cornell University Library.
- BUTTERFLIES. The childhood of a lepidopterist. The New Yorker. 1948
เรื่องโดย
