Kind Academy

นิวซีแลนด์ปฏิรูป “การศึกษา” ครั้งใหญ่ในรอบ 18 ปี อนุญาตให้ใช้คำนำหน้าชื่อนักเรียนโดยไม่ต้องคำนึงถึงเพศกำเนิด


โรงเรียนในนิวซีแลนด์ได้รับคำแนะนำจากกระทรวงศึกษาธิการว่า ควรเปลี่ยนการเรียกคำนำหน้าชื่อให้ตรงตามความต้องการของนักเรียนโดยไม่ต้องคำนึงถึงเพศกำเนิด เพื่อส่งเสริมความหลากหลายทางเพศในรั้วโรงเรียน และเป็นการสะท้อนถึงบรรทัดฐานทางสังคมในนิวซีแลนด์ และทั่วโลกที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา

กฎระเบียบดังกล่าวถูกบัญญัติไว้ตั้งแต่ปี ค.ศ. 2002 ซึ่งเป็นเวลาเกือบยี่สิบปีแล้ว ดังนั้นทางกระทรวงศึกษาธิการจึงได้ทำการปรับปรุง แก้ไขกฎระเบียบให้มีความทันสมัยมากยิ่งขึ้น โดยทางกระทรวงฯ ยังแนะนำเพิ่มเติมอีกว่า ควรบรรจุบทเรียนเรื่องความหลากหลายทางเพศลงในหลักสูตร เพื่ออธิบายความแตกต่างทางเพศที่แพร่หลายอยู่ในโลกออนไลน์ ซึ่งปัจจุบันนักเรียนสามารถรับรู้ข่าวสารข้อมูลดังกล่าวได้อย่างทั่วถึง นอกจากนี้ยังเป็นการปกป้องสิทธิมนุษยชนของตัวนักเรียนเอง ทำให้พวกเขาสามารถเติบโตไปในสังคมที่มีความลื่นไหลได้อย่างภาคภูมิใจ อีกทั้งยังเป็นการเปลี่ยนทัศนคติทางสังคมที่มีต่อเพศทางเลือกอีกด้วย

แม้ว่า โรงเรียนประถมและมัธยมจะถูกแยกออกจากกัน แต่ไม่ว่าจะเป็นโรงเรียนระดับชั้นใด ทุกโรงเรียนควรตั้งคำถามกับบรรทัดฐานทางเพศที่ในอดีตได้ถูกตีกรอบจำกัดอยู่เพียงแค่สองเพศ ซึ่งปัจจุบันค่านิยมดังกล่าวได้กลายเป็นเรื่องล้าสมัยไปแล้ว นักเรียนควรได้เรียนรู้ถึงความหลากหลายทางเพศที่เกิดขึ้นในสังคม ให้พวกเขาคิดวิเคราะห์เองว่าสิ่งไหนคือสิ่งที่พวกเขาอยากเป็น โดยไม่จำกัดอยู่เพียงแค่เพศชาย-หญิงตามบรรทัดฐานทางสังคม

ทางกระทรวงศึกษาธิการ ยังได้แนะนำเพิ่มเติมอีกว่า การกำหนดหลักสูตรเรื่องเพศศึกษา ทางกระทรวงฯ ให้อิสระแก่ทางโรงเรียนในการร่างหลักสูตรอย่างเต็มที่ แต่ควรคำนึงถึงภูมิหลังทางวัฒนธรรมของนักเรียนมาเป็นอันดับหนึ่ง

“กฎระเบียบใหม่นี้จะช่วยให้มั่นใจได้ว่าการสอนเรื่องความสัมพันธ์และเพศวิถีศึกษาในโรงเรียนจะไม่สูญเปล่า” Tracey Martin รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการกล่าว 

นโยบายดังกล่าวมีทั้งผู้ที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย ซึ่งผู้ที่สนับสนุน LGBTQ มองว่าเป็นนโยบายที่เปิดกว้างและเหมาะสมกับยุคสมัย ส่วนกลุ่มผู้ไม่เห็นด้วยมองว่านักเรียนหรือคนข้ามเพศไม่ควรใช้ห้องน้ำตามที่พวกเขาต้องการ แต่ควรใช้ห้องน้ำหรือห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าตามเพศกำเนิดของตนเพื่อไม่ให้เกิดความสับสน ขณะที่ทางกระทรวงฯ ยืนยันว่า “การระบุตัวตนของเด็ก ๆ นั้น ควรขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของพวกเขาเอง และพวกเขาควรได้รับอนุญาตให้ใช้ห้องน้ำหรือห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าที่สอดคล้องกับตัวตนของตนเอง” 



ข้อความส่วนหนึ่งของเอกสารแนะนำระบุว่า ไม่ควรจำแนกบุคคลใดบุคคลหนึ่งไว้ในเพศลักษณ์ (Sexual Characteristics) เพียงแค่สองลักษณะเท่านั้น แต่ควรทำให้นักเรียนตระหนักได้ว่าสังคมมีความลื่นไหลมากกว่าเพศชายและหญิง ซึ่งการระบุเพศของนักเรียน ควรขึ้นอยู่กับความสมัครใจของพวกเขาเอง

จากการสำรวจนักเรียนระดับมัธยมในนิวซีแลนด์จำนวน 1 ใน 10 คน พบว่า พวกเขาเป็นเพศทางเลือกหรือเป็นผู้มีความหลากหลายทางเพศ แต่ไม่ได้เผยตัวตนให้เพื่อนร่วมชั้นหรือทางโรงเรียนรับรู้ ต่อมากลุ่ม Rainbow Youth ซึ่งเป็นผู้สนับสนุน LGBTQIA จึงได้ออกมากล่าวถึงกรณีดังกล่าวว่า “นี่คือเหตุผลและความจำเป็นที่ต้องออกกฎระเบียบใหม่”

“ความพยายามของนิวซีแลนด์จะช่วยให้พวกเขามั่นใจได้ว่า เยาวชน LGBTQIA สามารถเป็นตัวของตัวเองได้อย่างเต็มที่ในสภาพแวดล้อมที่เป็นมิตร ซึ่งจะช่วยส่งเสริมการเรียนรู้แก่พวกเขา” Daina Ruduša ผู้จัดการอาวุโสด้านการสื่อสารขององค์กร OutRight Action International กล่าวกับทาง Global Citizen ผ่านทางอีเมล



จากการศึกษาเพิ่มเติม พบว่า มีเยาวชน LGBTQ + จำนวนมากถึง 50 เปอร์เซ็นต์ เคยคิดอยากฆ่าตัวตาย เพราะถูกกลั่นแกล้งและก่อกวนจากผู้ไม่มีความเข้าใจในความแตกต่างตรงนี้ พวกเขาต้องอดทนอยู่ในสังคมที่คาดหวังว่าจะต้องเป็นเพียงผู้ชายหรือผู้หญิง ซึ่งนี่เป็นค่านิยมทางสังคมที่คับแคบและล้าสมัยไปแล้ว Ruduša อธิบายเพิ่มเติม

ปัญหาที่มักพบตามมาคือ นักเรียนกลุ่มที่ประสบกับการถูกกลั่นแกล้งและไม่ได้รับการยอมรับในสังคมมีแนวโน้มจะลาออกจากโรงเรียน และมีการขาดเรียนสูงกว่าปกติ ทำให้การเรียนต่อในระดับมัธยมศึกษาตอนปลายลดลง ซึ่งส่งผลต่อความรู้สึกรักและนับถือในคุณค่าของตัวเองลดต่ำลงไป และนำมาสู่ปัญหาทางสุขภาพจิตในที่สุด


“สิ่งสำคัญคือ คนหนุ่มสาวสามารถมองเห็นภาพสะท้อนของตัวเองจากสิ่งที่พวกเขากำลังเรียนรู้อยู่ในโรงเรียน” Pooja Submaranian ผู้เชี่ยวชาญด้านจิตเวชกล่าว เธอเสริมว่า นักเรียนชาวสีรุ้งหลายคนถูกรังแกหรือกลัวการถูกเลือกปฏิบัติจากที่โรงเรียนและนโยบายนี้ก็อยู่ในขั้นตอนการดำเนินการมานานเกินไปแล้ว


อย่างไรก็ตาม ผู้สนับสนุนบางคนกังวลว่า กฎระเบียบดังกล่าวและหลักสูตรที่ทางกระทรวงศึกษาธิการกำหนดออกมาจะไม่ครอบคลุมโรงเรียนทั่วทั้งประเทศ

“กฎระเบียบใหม่เพียงอย่างเดียวจะไม่ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงขั้นพื้นฐานตามที่เราต้องการ ตราบใดที่ไม่มีการนำมาปฏิบัติจริง” Jackie Edmond ผู้บริหารระดับสูงของการวางแผนครอบครัวกล่าว “เราต้องการการสนับสนุนจากทางกระทรวงศึกษาเพิ่มเติม เพื่อให้โรงเรียนสามารถนำนโยบายดังกล่าวมาปฏิบัติได้อย่างทั่วถึง”


ที่มา


เรื่องโดย