Kindnovation

ONE OF A KIND เริ่มจากหนึ่ง จึงกลายเป็นตำนาน

“เริ่มจากหนึ่ง จึงกลายเป็นตำนาน”

บ่อยครั้งที่ความสมบูรณ์แบบของนวัตกรรม หมายถึง การทำอะไรซ้ำ ๆ จนกว่าสิ่งนั้นจะออกมาไร้ที่ติทั้งในแง่ของคุณภาพและรูปลักษณ์ และแม้ว่านวัตกรรมตัวหนึ่งจะออกสู่ตลาดแล้ว แต่ทีมผู้ออกแบบผลิตภัณฑ์ โปรแกรมเมอร์ วิศวกร ยังคงมุ่งมั่นพัฒนารุ่นต่อไปให้ดีกว่าเดิม อย่างไรก็ตาม นวัตกรรมบางตัวก็สมบูรณ์พร้อมตั้งแต่ครั้งแรกที่กำเนิดขึ้น และอยู่ยั้งยืนยงนานหลายทศวรรษ

1

ขนมปังปอนด์


“ขนมปัง” เป็นหนึ่งในอาหารที่เก่าแก่ที่สุดของโลก โดยมีหลักฐานว่ามนุษย์เริ่มเรียนรู้การตีแป้งขนมปังตั้งแต่ 30,000 ปีก่อน อย่างไรก็ตาม ขนมปังปอนด์นั้นเพิ่งอุบัติขึ้นยังไม่ถึง 100 ปีมานี้เอง โดยผู้ที่ให้กำเนิดขนมปังปอนด์ คือ Otto Rohwedder (ออตโต้ โรเวดเดอร์) นักประดิษฐ์และวิศวกรชาวอเมริกัน ซึ่งได้สร้างเครื่องตัดขนมปังแบบหลายใบมีดขึ้น และได้เปลี่ยนโฉมหน้าขนมปังแบบเดิมจากที่เป็นก้อน ๆ ต้องนำมาตัดเป็นแผ่นเอง ให้กลายเป็นขนมปังแผ่นสำเร็จรูปไปจนถึงปัจจุบัน

หนังสือพิมพ์ Chillicothe Constitution-Tribune ในรัฐมิซูรีกล่าวว่า นวัตกรรมนี้ คือ ความสำเร็จที่จะได้รับการต้อนรับด้วยไมตรีจิตอย่างยาวนานจากบรรดาแม่บ้านทั้งหลาย แต่ในช่วงแรกมีเพียงไม่กี่รัฐในอเมริกาเท่านั้นที่ตอบรับผลงานของออตโต้ โรเวดเดอร์ จวบจนกระทั่งบริษัท Taggart Baking ได้แนะนำขนมปังแถวแบบสไลด์แล้ว (ขนมปังปอนด์) แบรนด์ Wonder Bread ออกสู่ตลาดทั่วประเทศในปี 1930 จึงทำให้ขนมปังปอนด์กลายเป็นดาวเด่นขึ้นมาทันที

ในปี 1917 หรือ 10 ปีก่อนที่โรเวดเดอร์จะสร้างเครื่องตัดขนมปังสำเร็จ เขาได้สูญเสียต้นแบบเครื่องและพิมพ์เขียวไปในอัคคีภัย รวมทั้งต้องเผชิญหน้ากับการตั้งคำถามของคนทำขนมปังทั้งหลายที่ต่างกังขาว่าขนมปังแบบตัดเป็นชิ้นบาง ๆ  จากโรงงานจะเสียง่ายหรือไม่ แต่ขนมปังปอนด์ก็ใช้เวลาไม่นานนักในการสร้างชื่อเสียงให้ตัวเองในอเมริกา แม้หลายคนมองว่ามันเป็นแค่แฟชั่นที่มาแล้วไปก็ตาม และในปี 1930 ขนมปังปอนด์ก็ได้วางขายในร้านขนมปังทั่วประเทศดังกล่าวข้างต้น

ต่อมาในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ขนมปังปอนด์ก็ถูกรัฐบาลอเมริกันสั่งห้ามผลิตเป็นช่วงเวลาสั้น ๆ ซึ่ง Wonder Bread ก็โดนด้วย เพราะรัฐบาลต้องการกักตุนขี้ผึ้งพาราฟิน (ซึ่งปกติใช้เคลือบกระดาษห่อขนมปัง) สำหรับใช้ในทางการแพทย์ในช่วงสงคราม  เข้าสู่ปี 2012 แบรนด์ Wonder Bread ได้หายวับไปจากชั้นวางขนมปังทั่วอเมริกา หลังจากต้นสังกัดแถลงการณ์ภาวะล้มละลายของบริษัท แต่โชคยังดีที่ยังมีอีกบริษัทเข้ามารับช่วงต่อและจัดจำหน่ายแบรนด์ขนมปังปอนด์ระดับตำนานอย่าง Wonder Bread อีกครั้ง ในปี 2013



2

คลิปหนีบกระดาษ


ก่อนที่คลิปหนีบกระดาษหน้าตาแบบนี้จะกลายเป็นของสามัญในทุกแห่งหนทั่วโลก สมัยก่อนคนทั่วไปใช้เข็มหมุดในการปักตรึงให้กระดาษอยู่ด้วยกัน ใช้ริบบิ้นร้อยลอดกระดาษที่เจาะเป็นรูเอาไว้ และใช้วิธีแก้แบบขัดตาทัพอื่น ๆ ในการหนีบกระดาษเท่าที่จะทำได้ ต่อมาในปี 1870 บริษัท Britain’s Gem Ltd. ได้ประดิษฐ์คลิปหนีบกระดาษด้วยการนำลวดมาขดรวมเป็นวงรีสองวงซ้อนกัน ซึ่งกลายเป็นคลิปหนีบกระดาษที่ยังนิยมใช้จนถึงทุกวันนี้ โดยรู้จักกันในชื่อ “Original Gem Clip”

ประวัติความเป็นมาประดิษฐ์คลิปหนีบกระดาษนั้นมีอยู่หลายต้นทาง ที่ดัง ๆ ก็เป็นประเทศนอร์เวย์ซึ่งอ้างว่า ผู้ประดิษฐ์คลิปหนีบกระดาษคนแรกนั้นเป็นนักประดิษฐ์ชาวนอร์เวย์ชื่อ โจฮันน์ วาเลอร์ (Johan Vaaler) ซึ่งได้ประดิษฐ์และจดสิทธิบัตรไว้ในประเทศเยอรมนีในปี 1899 เนื่องจากเวลานั้นนอร์เวย์ยังไม่มีกฎหมายลิขสิทธิ์ และถือว่าเป็นคนแรกที่ได้รับสิทธิบัตรการออกแบบคลิปหนีบกระดาษแม้ว่าการออกแบบอื่น ๆ ที่ไม่ได้รับการอนุมัติอาจมีอยู่ก่อนก็ตาม หน้าตาคลิปหนีบกระดาษของวาเลอร์มีความคล้ายคลึงกับ “Original Gem Clip” แต่ต่างกันตรงที่ของวาเลอร์จะเป็นทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า

นอกจากนี้ยังมีเรื่องเล่าเกี่ยวกับประเทศนอร์เวย์กับคลิปหนีบกระดาษที่น่าสนใจว่า ในช่วงระหว่างสงครามโลกครั้งที่สองซึ่งกองทัพนาซีเยอรมันได้เข้ายึดครองนอร์เวย์ นาซีได้สั่งห้ามไม่ให้ชาวนอร์เวย์ติดกระดุมที่เป็นโลหะ เนื่องจากเกรงว่าจะมีการทำสัญลักษณ์ใดที่เป็นการต่อต้านการยึดครองของนาซีบนตัวกระดุม ชาวนอร์เวย์ผู้ชาตินิยมจึงหันมาใช้คลิปหนีบกระดาษกลัดเสื้อผ้าเพื่อเป็นสัญลักษณ์ในการประท้วงนาซีแทน

อย่างไรก็ดีคลิปหนีบกระดาษแบบที่รู้จักกันดีและใช้กันเป็นมาตรฐานจนถึงปัจจุบันยังเป็น “Original Gem Clip” ของ บริษัท Britain’s Gem Ltd.



3

รถจักรยานยนต์
Honda Super Cub



ย้อนกลับไปในช่วงทศวรรษที่ 1950 หลายคนมองว่า “รถจักรยานยนต์” เป็นอะไรสักอย่างที่เสียงดังน่ารำคาญ แถมยังจุกจิกต้องดูแลเยอะ แต่ความคิดนี้ได้ถูกลบล้าง เมื่อ Honda สามารถพลิกเกมด้วย Super Cub นวัตกรรมยานยนต์ 2 ล้อ จากฝีมือการพัฒนาของโซอิจิโร ฮอนดะ ประธานบริษัทฮอนด้ามอเตอร์ และ ทาเคโอะ ฟูจิซาวา กรรมการบริหารอาวุโส ที่ได้เดินทางไปศึกษางานในยุโรป ทำให้พวกเขาได้ไอเดียในการพัฒนารถจักรยานยนต์ใหม่ ซึ่งมีแนวคิดว่า “การขับขี่ต้องควบคุมง่าย” และมีสไตล์ที่เป็นเอกลักษณ์บ่งบอกความเป็นญี่ปุ่น จึงเป็นที่มาของรถจักรยานยนต์ 49 ซีซี แบบ 4 จังหวะที่ให้กำลังแรงเกินตัว

แต่เสียงเบาและประหยัดเชื้อเพลิง นอกจากนี้ยังขับขี่ง่าย และมีดีไซน์คล่องตัว ตัวถังมีรูปทรงและขนาดที่ผู้หญิงสามารถขึ้นลงได้ง่าย ถังน้ำมันที่อยู่ใต้เบาะทำให้รู้สึกว่าทั้งสองส่วนประกบกันแน่น ล้อของ Super Cub มีขนาด 17 นิ้ว ช่วยให้สามารถขับขี่บนพื้นผิวถนนสภาพแย่ ๆ ได้โดยไม่ทำให้รู้สึกลำบากหรือเสียการทรงตัว เสริมด้วยระบบเกียร์แบบใหม่ที่ไม่ต้องมีคันคลัตช์ขณะเปลี่ยนเกียร์ ด้วยข้อดีต่าง ๆ เหล่านี้ทำให้ “Honda Super Cub” ครองใจคนทั่วโลกได้อย่างรวดเร็วและกลายเป็นรถจักรยานยนต์ที่ขายดีที่สุดในประวัติศาสตร์มากกว่า 100 ล้านคัน



4

มีดพับสวิส
Swiss Army Knife



มีดพับสีแดงกับสัญลักษณ์โล่และกากบาทของประเทศสวิตเซอร์แลนด์บนฝักที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวนี้ รู้จักกันในชื่อ “มีดพับสวิส” หรือ “Swiss Army Knife” ซึ่งเป็นมีดพับแบบเอนกประสงค์ขนาดพกพาที่รวมเครื่องมือหลายอย่างไว้ด้วยกัน เช่น ไขควง กรรไกร ที่เปิดขวด ที่เปิดกระป๋อง อุปกรณ์ไขจุกก๊อก เป็นต้น เครื่องมือเหล่านั้นรวมกันอยู่ภายในด้ามจับด้วยกลไกของจุดหมุนตามจุดต่าง ๆ ที่สามารถเปิดออกและพับเก็บได้

มีดพับสวิสถูกผลิตขึ้นในปี ค.ศ. 1891 โดยนายคาร์ล เอลซ์เนอร์ (Karl Elsener) และได้รับการจดทะเบียนสิทธิบัตรในปี ค.ศ. 1897 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อใช้ในกองทัพสวิสสำหรับให้นายทหารพกติดตัวระหว่างปฏิบัติหน้าที่ และเหตุผลที่ทำไมฝักมีดเป็นสีแดง ก็เพราะสีแดงมองเห็นได้ง่าย ถ้ามีดเกิดหล่นลงบนหิมะนั่นเอง คำว่า “Swiss Army” ปัจจุบันเป็นเครื่องหมายการค้าของ Wenger S.A. และ Victorinox A.G. ซึ่งเป็นเจ้าของร่วมกันตั้งแต่ ค.ศ. 2005 จากในอดีตที่เคยเป็นคู่แข่งกัน 

ชื่อดั้งเดิมที่เป็นภาษาเยอรมันของมีดพับสวิส คือ Offiziersmesser แต่ทหารอเมริกัน (ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง) ไม่สามารถออกเสียงคำนี้ได้ พวกเขาจึงเรียกมีดพับที่มีเครื่องมือหลายอย่างอยู่ภายในนี้ว่า Swiss Army knife ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา มีดพับสวิสรุ่นที่ขายดีที่สุด คือ รุ่น Champion ประกอบด้วยฟังก์ชั่นการใช้งานถึง 33 อย่าง และมีที่ตัดลวดและ
ไม้บรรทัดรวมอยู่ด้วย



5

เครื่องผสมอเนกประสงค์
KitchenAid



ในปี 1937 นักออกแบบอุตสาหกรรมชาวอเมริกันนามว่า Egmont Arens ได้พยายามออกแบบ “เครื่องผสมอเนกประสงค์” สำหรับใช้ในครัวเรือน ด้วยการต่อยอดจากเครื่องผสมแป้งโดว์ขนาดใหญ่ความจุ 80 คว็อต (1 ควอร์ต มีค่าเท่ากับ 1.136 523 ลิตร) ของแบรนด์ KitchenAid ที่ชื่อว่า Model H ซึ่งใช้ในการตีแป้งทำขนมปังเชิงพาณิชย์

โดยเขาย่อสวนเครื่องผสมให้เล็กลงเป็นขนาด Miniature แล้วเคลือบด้วยพอร์ซเซอเลนเพื่อให้ทำความสะอาดง่าย ออกแบบหัวปั่นให้โยกเอียงได้ ปรับขนาดถ้วยผสมเป็น 3 คว็อตที่ล็อคติดกับฐาน ใช้หัวปั่นที่สามารถปั่นได้ถึงก้นถ้วย และตั้งชื่อว่า Model K โมเดลใหม่นี้ประสบความสำเร็จอย่างมาก สามารถสร้างยอดขายถึง 20,000 เครื่องในเวลาเพียงสามปี

ต่อมาในปี 1955 KitchenAid ได้จดทะเบียนการค้าให้กับดีไซน์เครื่องผสมตัวนี้ และได้เพิ่มสีต่าง ๆ ให้กับนวัตกรรมระดับตำนานของแบรนด์อีกหลายเฉดสี ในส่วนของดีไซน์ที่ Arens ทำไว้นั้นจัดว่าแข็งแกร่งมาก เพราะเวลาผ่านมานานเกือบร้อยปี แบบของเครื่องผสมอเนกประสงค์ KitchenAid ก็ “แทบไม่เปลี่ยนแปลง” จากที่เปิดตัวในปี 1937 เลย



6

คอนกรีตบล็อก
Concrete Masonry Unit

“คอนกรีตบล็อก” (Concrete Masonry Unit หรือ CMU) หรือเรียกกันทั่วไปว่า “อิฐบล็อก” เป็นนวัตกรรมที่คิดค้นโดยนักประดิษฐ์ชาวอเมริกันนามว่า Harmon Sylvanus Palmer ซึ่งเป็นอิฐที่ผลิตสำหรับใช้ในเชิงอุตสาหกรรมมากกว่าอิฐมอญ มีขนาดมาตรฐาน 8 x 8 x 16 นิ้ว และมีช่องว่างเป็นรูกลวงภายในสองหรือสามช่อง ซึ่งรูกลวงตรงกลางนี้ทำให้ช่องอากาศภายในนั้นเป็นฉนวนในการกันความร้อนที่ดี

อิฐชนิดนี้เป็นที่นิยมใช้มากเนื่องจากมีราคาถูก หาซื้อได้ง่าย อีกทั้งยังสามารถทำงานได้เร็วเพราะมีขนาดก้อนใหญ่กว่าอิฐมอญ คอนกรีตบล็อกทำจากคอนกรีตหล่อ โดยบล็อกที่มีความหนาแน่นต่ำหรือบล็อกโปร่งอาจใช้ของเสียจากอุตสาหกรรมเช่นเถ้าลอยหรือเถ้าหนัก Fly Ash/ Bottom Ash มาเป็นมวลรวมด้วย

หมายเหตุ: เถ้าปลิว หรือ เถ้าลอย (Fly Ash) เป็นผลพลอยได้จากการเผาถ่านหินเพื่อผลิตกระแสไฟฟ้า ถ่านหินที่บดละเอียดจะถูกเผาเพื่อให้พลังงานความร้อนแก่หม้อไอน้ำ (Boiler) เพื่อผลิตกระแสไฟฟ้าต่อไป เถ้าถ่านหินขนาดใหญ่จะตกลงยังก้นเตา จึงเรียกกันว่า เถ้าก้นเตาหรือเถ้าหนัก (Bottom Ash)



7

เครื่องบินส่วนบุคคคลขนาดเล็ก
Piper J-3 Cub


“Piper J-3 Cub” เป็นเครื่องบินน้ำหนักเบาสัญชาติอเมริกันที่คุ้นตากันมากที่สุดในโลก สร้างขึ้นระหว่างปี ค.ศ. 1938 ถึง ค.ศ. 1947 มีดีไซน์เรียบง่าย และบินได้รวดเร็ว ปีกรูปเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดใหญ่ เครื่องยนต์ส่วนใหญ่มักใช้เครื่องยนต์ 4 ลูกสูบ ระบายความร้อนด้วยอากาศซึ่งขับเคลื่อนด้วยใบพัดแบบ fixed-pitch ลำตัวเป็นโครงเหล็กเชื่อม ที่นั่งออกแบบไว้สำหรับนั่งสองคนตีคู่กัน

เครื่องบินเล็กชนิดนี้เป็นที่ชื่นชอบของทุกคน ตั้งแต่นักบินสมัครเล่นที่กำลังฝึกบินไปจนถึงกองทัพสหรัฐ ด้วยยอดส่งออกกว่าเกือบ 20,000 ลำจากโรงงานผลิต ก่อนที่บริษัทจะปรับปรุงเครื่องบินในปี ค.ศ. 1947 ปัจจุบันนี้ผู้รักการบินหลายคนยังคงใช้ Piper J-3 Cub ในการฝึกบิน เนื่องจากมีความทนทาน ซ่อมแซมได้ง่ายและสามารถบินขึ้นหรือลงจอดบนพื้นดินที่เล็กที่สุดได้อย่างสะดวก

เครื่องบิน Piper J-3 Cub มีอัตลักษณ์สีเหลืองโครเมี่ยมมาแต่แรก จึงทำให้เป็นที่รู้จักกันในชื่อ “Cub Yellow” หรือ “Lock Haven Yellow” อีกด้วย นอกจากนี้เครื่องบิน Piper J-3 Cub ยังถูกใช้ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ด้วยหลายวัตถุประสงค์ เช่น เป็นเครื่องบินลาดตระเวนสำหรับจัดส่งอาหาร น้ำ อาวุธยุทธภัณฑ์ พลาสมาของเลือด เพื่อต้านผลกระทบจากภาวะช็อกและการสูญเสียเลือดจากบาดแผลฉกรรจ์แก่กองกำลังภาคพื้นดิน 



8

ฉาบ Zildjian


ตำนานเล่าว่า นักโลหะวิทยา Avedis Zildjian หวังที่จะทำทองคำตอนที่เขาเล่นแร่แปรธาตุด้วยการผสมทองแดงกับดีบุกเข้ากับสสารบางอย่างที่ยังเป็นความลับจนถึงทุกวันนี้ สุดท้าย Zildjian (ซิลด์เจี้ยน) ลงเอยด้วยการสร้างโลหะผสมที่ไม่เหมือนสัมฤทธิ์ทั่วไป ซึ่งสามารถให้เสียงไพเราะก้องกังวานได้โดยไม่แตกหรือแหลกละเอียดเมื่อตี

คำว่า “Zildjian” นี้มีรากศัพท์มาจากภาษาตุรกี แปลว่า “ช่างทำฉาบ” โดย Avedis ต้นตระกูลของ Zildjian เป็นนักเล่นแร่แปรธาตุชาวอาร์เมเนียที่อาศัยอยู่ในกรุงคอนสแตนติโนเปิล ซึ่งปัจจุบันก็คือกรุงอิสตันบูลในประเทศตุรกี เมื่อการค้นพบของ Avedis ล่วงรู้ถึงหูท่านสุลต่าน Osman ที่ 2 ซึ่งอยากได้ฉาบดี ๆ มาใช้ในวงดนตรีราชสำนักของท่าน เมื่อได้ฉาบของ Avedis มาใช้ พระองค์ก็ทรงโปรดปรานมาก จนถึงขั้นพระราชทานทองคำให้ Avedis จำนวนถึง 80 ชิ้น เป็นรางวัล และพระราชทานนามสกุลให้อีกว่า “Zildjian” 

อีก 300 ปีต่อมาลูกหลานของ Zildjian มีโอกาสย้ายไปอยู่ที่รัฐ Massachusetts สหรัฐอเมริกาในปี ค.ศ.1929 และได้แนะนำสินค้าของพวกเขาให้กับนักดนตรีแจ๊สที่นั่นรู้จัก ทั้งนี้ตระกูล Zildjian ได้พัฒนาสูตรการทำฉาบอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ได้ฉาบที่เหมาะกับยุคสมัยจนมาถึงปัจจุบัน และตราบถึงทุกวันนี้ฉาบ Zildjians (ซิลด์เจี้ยน) ยังได้รับการยอมรับจากผู้ใช้ทั่วโลก ถือเป็นยี่ห้อมาตรฐานสำคัญที่ขายดีที่สุดอันดับหนึ่งของโลก



9

ประแจเลื่อน
Adjustable Wrench


ถึงแม้จะมีหน้าตาดูเรียบง่ายไม่มีอะไรซับซ้อน แต่ “ประแจเลื่อน” (ประแจที่สามารถปรับเพิ่มหรือขยายขนาดได้) ก็นับว่าเป็นสิ่งมหัศจรรย์ทางวิศวกรรมอย่างหนึ่งทีเดียว สำหรับการใช้งานนั้นง่ายเพียงหมุนกลไกสกรูด้วยนิ้วหัวแม่มือและชุดฟันที่เรียกว่าแร็คและตัวหนอนก็พร้อมใช้แล้ว

นวัตกรรมอายุ 170 กว่าปีนี้เป็นผลงานอันอยู่ยั้งยืนยงของวิศวกรชาวอังกฤษนามว่า Richard Clyburn ซึ่งได้กลายเป็นเครื่องมือสำคัญประจำกล่องเครื่องมือของช่างทั้งหลายจนถึงปัจจุบัน ต่อมาวิศวกรชาวอังกฤษ Johan Petter Johansson ได้พัฒนาจากประแจที่เรียกว่า “Monkey wrench” หรือ “English key” โดยต่อยอดจากงานประดิษฐ์ของ Richard Clyburn และได้จดสิทธิบัตรในปี ค.ศ. 1891


ที่มา