Kind Health

Coercive Control ภัยที่เกิดจากการบีบบังคับจากคนรัก ที่กลายเป็นภาวะ (ไม่) ปกติของวัยรุ่น


เมื่อความเกรงกลัวของอำนาจทำให้เกิดบาดแผลที่มองไม่เห็น และเหยื่อไม่กล้าที่จะพูด เพราะคิดว่าภาวะที่ถูกกระทำเป็นเรื่อง “ปกติ” ส่งผลให้เหยื่อรู้สึกว่าต้องยอมรับการกระทำนั้น ขาดความมั่นใจในการใช้ชีวิต ไม่สามารถกำหนดชะตาชีวิตของตัวเองได้ เพราะถูกควบคุมและบีบบังคับจากคนรักหรือคนในครอบครัว

ในเดือนกันยายน ค.ศ. 2020 รัฐบาลแห่งสหราชอาณาจักรได้ศึกษาเกี่ยวกับการบังคับควบคุม (Coercive Control) ในโรงเรียน ความแตกต่างระหว่างความสัมพันธ์ที่ดีกับความสัมพันธ์ที่แย่นั้นแทบจะสังเกตไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อผลกระทบนั้นไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า แต่ก็อาจสร้างความเสียหายได้

ว่าด้วยเรื่องความสัมพันธ์ของคู่รักวัยเยาว์ “ซาร่า” และ “แซค”

เมื่อ “ซาร่า” อายุย่างเข้า 16 ปี เธอเริ่มใกล้ชิดกับเพื่อนชายคนหนึ่งในชั้นเรียนเดียวกันชื่อว่า “แซค” หลังจากคุยกันได้ 2-3 สัปดาห์ เขาก็ชวนเธอไปเดท ตอนแรกซาร่ารู้สึกประหม่าเพราะเธอไม่คุ้นเคยกับการออกไปเที่ยวกับผู้ชายสองต่อสอง เธอจึงถามเขาว่าจะให้ชวนเพื่อน คนอื่นด้วยมั้ย คำตอบของแซคที่ตอบกลับมาคือ “ฉันอยากให้มีแค่เรา 2 คน นี่เป็นโอกาสที่เราจะได้อยู่ด้วยกันแบบที่ไม่เคยมีมาก่อน”

ความสัมพันธ์ของเขาและเธอชัดเจนขึ้น ซาร่ายอมรับว่าเธอชอบแซคจริง ๆ และเมื่อเขาชวนเธอทำสิ่งต่าง ๆ เพียงแค่สองคน เธอก็รู้ว่าเขาก็รู้สึกแบบเดียวกัน ถึงแม้ว่าเธอกลัวที่จะเดินไปไหนมาไหนคนเดียวในตอนกลางคืน แต่เธอก็จะไปใช้เวลากับเขาเป็นส่วนใหญ่ จากนั้นไม่กี่เดือนต่อมาซาร่าและแซคก็เปิดตัวเป็นคู่รักกันอย่างเป็นทางการ

คืนหนึ่งก่อนที่พวกเขาจะไปงานปาร์ตี้ ซาร่ากำลังลองชุดอยู่ แล้วแซคก็กล่าวขึ้นว่า “ชุดนั่นโป๊เกินไปหน่อยนะ” ด้วยความไว้วางใจในความคิดเห็นของแซค ซาร่าจึงเลือกชุดใหม่ที่ปกปิดมิดชิดมากขึ้น

ไม่เพียงเท่านั้น เมื่อซาร่าเริ่มคุยกับเพื่อนชายคนอื่น ๆ ในชั้นเรียนเดียวกัน แซคก็กล่าวหาว่าเธอพยายามทำให้เขาหึง “จะคุยกับพวกนั้นทำไม!” แม้ซาร่าแน่ใจว่านั่นเป็นการพูดคุยเล็กน้อยแบบไร้เดียงสาของเด็ก ๆ แต่เธอก็เห็นด้วยกับแซคว่าจะไม่พูดคุยกับเพื่อน ๆ ชายเหล่านั้นอีก ถ้านั่นทำให้แซครู้สึกสบายใจ

ไม่นานจากนั้นแซคก็เริ่มทดลองใช้ยาเสพติด ซาร่าบอกเขาว่าเธอเป็นห่วงและให้หยุดใช้ยานั้น แต่ทุกครั้งที่เธอพูดขึ้น แซคก็จะกล่าวหาว่าเธอพยายามควบคุมเขา เธอจึงลองค้นหาใน Google ดูว่า “ฉันเป็นคนชอบบงการคนอื่นงั้นหรือ”

ยิ่งซาร่าใช้เวลากับแซคมากเท่าไหร่ ความสัมพันธ์ของเธอกับเพื่อนคนอื่น ๆ ก็ยิ่งน้อยลง แซคบอกกับเธอว่า “นี่เป็นเรื่องปกติในช่วงของการเริ่มต้นความสัมพันธ์ และอีกอย่างฉันไม่ชอบเพื่อนของเธออยู่แล้ว”

ก่อนจบการศึกษา ซาร่าตัดสินใจเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยที่เป็นตัวเลือกอันดับหนึ่งของเธอ ในขณะที่แซคตัดสินใจที่จะสอบใหม่ เขาบอกเธอว่า “ห้ามไปนะ ทำไมเธอถึงอยากทิ้งฉันไว้ที่นี่”

เมื่อเขาหมดหวังที่จะขอให้ซาร่าไม่ไปมหาวิทยาลัย แซคก็บอกว่าไม่มีประโยชน์อะไรที่เธอจะไป “เสียเงินเปล่า ๆ น่า ฉันจะเป็นคนหาเลี้ยงครอบครัวเอง ฉันอยู่คนเดียวไม่ได้”

ปัจจุบัน ซาร่าอายุ 23 ปี เธอเล่าว่า ช่วง 2-3 ปีแรกของความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับแซคก็ไม่ได้แย่อย่างที่คิดไว้สักเท่าไหร่

Coercive Control หรือ การบังคับควบคุม คืออะไร?

Coercive Control หรือ การบังคับควบคุม ไม่สามารถตรึงไว้ที่เหตุการณ์เดียวในความสัมพันธ์ได้ แต่เป็นการสะสมของคำพูด พฤติกรรม และการคุกคาม ที่ทำให้เหยื่ออับอาย ปล่อยให้พวกเขาปราศจากอิสรภาพและเหลือ “ตัวตน” เพียงเล็กน้อยเท่านั้น


ผู้ที่ตกเป็นเหยื่ออธิบายว่า การถูกล่วงละเมิดทางอารมณ์เป็นความรู้สึกเหมือนสูญเสียความมั่นใจและความเป็นอิสระ

ลักษณะของการบังคับควบคุมคือ การสามารถมองเห็นรูปแบบการทำร้ายตัวเองได้ อาจเป็นเรื่องยากอย่างไม่น่าเชื่อ และในบางกรณีก็แทบเป็นไปไม่ได้


เมื่อเหยื่อถูกคุกคามข่มขู่จากคนรัก

เพื่อสร้างความตระหนักรู้ถึงการล่วงละเมิดในทุกรูปแบบ รัฐบาลแห่งสหราชอาณาจักรจึงจัดให้มี “การศึกษาความสัมพันธ์” เป็นภาคบังคับในโรงเรียน ซึ่งมีผลบังคับใช้ในเดือนกันยายนปี ค.ศ. 2020 ที่ผ่าน หลักสูตรนี้รวมถึงการสอนนักเรียนให้รู้เรื่องการเงิน การล่วงละเมิดทางอารมณ์ และร่างกาย ในความสัมพันธ์ของวัยรุ่นและผู้ใหญ่

นี่คือสิ่งที่ซาร่าปรารถนาให้เธอเข้าใจถึงเรื่องนี้ก่อนที่จะมีความสัมพันธ์กับแซค มันเริ่มมาจากแซคกล่าวกับเธอว่า “เธอสวย” แต่ในไม่ช้าก็เปลี่ยนเป็น “เธอโชคดีที่ฉันอยู่กับเธอ เพราะไม่มีใครต้องการเธออีกแล้ว”

ทุกครั้งที่ลุกขึ้นจากเตียงและแต่งตัว ซาร่าต้องได้รับการอนุมัติเครื่องแต่งกายโดยละเอียดจากแซค “เขาทำให้ฉันเชื่อจริง ๆ ว่ามันเป็นเรื่องผิดมหันต์ถ้าฉันไม่แสดงให้เขาเห็นว่าฉันใส่อะไรอยู่”

แน่นอนว่า ทุกวันนี้ซาร่าไม่มีเพื่อน หลังจากที่แซคแอบส่งข้อความถึงพวกเพื่อน ๆ เธอว่า “ซาร่าเกลียดพวกแกและนินทาพวกแกเสมอ”

แซคมักจะบอกว่าเขาไม่มีเงินเป็นค่าอาหารเพื่อยังชีพ ซาร่าจึงส่งเงินจำนวนมากให้เขาเสมอ แต่แล้วเธอก็ถูกแซคทำร้ายจิตใจอยู่ดี “เธอแค่ทำเพื่อให้ฉันรู้สึกแย่กับตัวเองก็เท่านั้น” เขากล่าว

ที่มหาวิทยาลัย ถ้าซาร่าอยากไปเที่ยวกลางคืน แซคจะบอกเธอว่าห้ามไป และย้ำซ้ำ ๆ ว่า “ถ้าเธอไปเที่ยวกลางคืนเธอจะโดนคนแปลกหน้าวางยาและข่มขืน” และนั่นคือเรื่องที่แซคกังวลมากเกินไปจนนอนไม่หลับ

อย่างไรก็ตาม ถ้าวันไหนซาร่าออกไปข้างนอก (ซึ่งแม้จะยากก็ตาม) โทรศัพท์เธอจะเต็มไปด้วยข้อความและเสียงเรียกเข้าถามว่าเธออยู่ที่ไหนและกำลังทำอะไรอยู่

“ฉันเริ่มสังเกตว่าชีวิตของฉันถูก ‘จำกัด’ อย่างมากในมหาวิทยาลัย” ซาร่าเล่า “ฉันรู้สึกเหมือนไม่สามารถเข้าร่วมกิจกรรมต่าง ๆ หรือทำความรู้จักกับเพื่อนใหม่ได้ ฉันบอกเพื่อนร่วมแฟลตของฉันว่าความสัมพันธ์ของฉันกับแซคเป็นเรื่องแปลก เพราะฉันมักจะขออนุญาตเขาเสมอ แต่ที่ผ่านมาฉันคิดว่านั่นเป็นเรื่องปกติ เพราะแซคบอกฉันว่านั่นเป็นเรื่องปกติ”


ก่อนที่ซาร่าจะรู้สึกถึงความผิดปกตินี้ มันก็กลายเป็นความกลัวขึ้นมาแล้ว ช่วงเวลาที่เธอจำได้ดีคือ แซคกำลังไปเยี่ยมเธอที่มหาวิทยาลัย เธอจ่ายเงินเพื่อให้เขามาพบ เขาและเธอใช้เวลาทั้งวันด้วยกัน ซาร่านอนขดอยู่บนหน้าอกของแซคบนเตียง แล้วเขาก็บอกเธอว่า “ตอนนี้ฉันสามารถงับคอของเธอได้ถ้าฉันต้องการ”

เมื่อแซคโกรธเขาจะขว้างเก้าอี้ ทุบสิ่งของ และขู่เธอ เขาทำมันเป็นเรื่องปกติเหมือนการจูบเธอ “ถ้าฉันเอื้อมมือไปสัมผัสเขาเพื่อพยายามทำให้เขาสงบลง เขาจะผลักฉันออก ฉันไม่อยากไปหาเขาอีกแล้ว ฉันกลัว” ซาร่าบอกความในใจ

จนกระทั่งเข้าปีที่ 3 ในมหาวิทยาลัย เมื่อช่วงเวลาแห่ง “อิสระ” ของเธอกำลังจะหมดลง ซาร่าก็รู้สึกว่าการ “ทิ้ง” แซคเป็นอีกทางเลือกหนึ่ง

ว่าด้วยเรื่องกฎหมายรองรับภาวะการบังคับควบคุม

ในแต่ละสัปดาห์จะมีผู้หญิงถูกฆ่าสองคนอันเป็นผลมาจากความรุนแรงในครอบครัว บางครั้งกรณีเหล่านี้เชื่อมโยงกับการบังคับควบคุมตามที่ ดร. เจน มองค์ตัน สมิธ ผู้เชี่ยวชาญด้านอาชญวิทยา ระบุว่า การบังคับควบคุมอาจส่งผลต่อเพศวิถี โดย 13% ของผู้โทรไปยังสายด่วน ManKind Initiative กำลังขอการสนับสนุนสำหรับการล่วงละเมิดประเภทนี้


Coercive Control หรือการบังคับควบคุม กลายเป็นสิ่งผิดกฎหมายในปี ค.ศ. 2015 ภายใต้ความผิด “การบังคับควบคุมพฤติกรรมในความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดหรือคนในครอบครัว”

เพื่อที่จะผ่านเกณฑ์ในการเข้าข่ายเป็นอาชญากร การบังคับควบคุมต้องทำให้ใครบางคนกลัวว่าจะใช้ความรุนแรงกับพวกเขาอย่างน้อยสองครั้ง หรือทำให้พวกเขามีสัญญาณเตือนภัยหรือความทุกข์ที่ร้ายแรง ซึ่งส่งผลร้ายอย่างมากต่อกิจกรรมประจำวันตามปกติ แม้ว่าส่วนใหญ่จะถูกดำเนินคดีควบคู่ไปกับความผิดอื่น ๆ เช่น ความรุนแรงในครอบครัว ซึ่งแต่ละคดีก็เริ่มขึ้นศาลมากขึ้น

บาริสเตอร์ แคลร์ ซีบอรอว์สกา เล่าผ่านสารคดีของช่อง BBC ว่า เธอเห็นกรณีการบังคับควบคุมที่เกี่ยวข้องกับเยาวชนอายุ 16 ปีขึ้นไปมากขึ้นเรื่อย ๆ “เมื่อคุณยังเด็กไม่มีใครคาดคิดว่ามันจะไม่เหมาะสม ใคร ๆ ก็พบว่าตัวเองอยู่ในสถานะนั้นได้ บางครั้งสัญญาณเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ละเอียดอ่อนเหล่านี้อาจเริ่มคืบคลานเข้ามา ซึ่งอาจเกิดขึ้นได้ในระยะเวลาอันยาวนาน ดังนั้นสิ่งสำคัญคือคนหนุ่มสาวต้องรู้ว่า การบังคับควบคุมคืออะไร เพื่อจะได้แก้ไขได้แต่เนิ่น ๆ”



ในบางกรณี ผู้กระทำความผิดหลีกเลี่ยงความรุนแรงทางกาย เพราะนั่นจะทิ้งร่องรอยไว้อย่างชัดเจน พวกเขาค่อนข้างบิดเบือนและทำให้แน่ใจว่าไม่ได้ก่ออาชญากรรมทางกายใด ๆ เพราะจะตรวจพบได้ยากกว่าหากเป็นเพียงลักษณะการควบคุมที่บีบบังคับแม้ว่าจะยังคงส่งผลร้ายอย่างมากต่อเหยื่อทางจิตใจก็ตาม

อย่างกรณีของซาร่าและแซค ช่วงเวลาที่ซาร่าเดินทางไปขอเลิกกับแซค เธอรู้สึกกลัวมาก “ฉันรู้สึกว่าต้องรับผิดชอบชีวิตของเขา” อย่างไรก็ตาม ซาร่าเลือกที่จะบอกเลิกกับแซคในที่สาธารณะอย่างถนนที่คนพลุกพล่าน เนื่องจากเขาจะไม่สามารถทำร้ายเธอได้

หลายเดือนหลังจากที่ซาร่าบอกเลิกแซค เขายังคงตามรังควานเธอ และขู่ว่าจะฆ่าตัวตาย แม้ซาร่าจะบล็อกเบอร์ของเขาแล้ว แต่วันดีคืนดีแซคก็บุกเข้าบ้านของเธอ และตามด้วยบ้านแม่ของเธอ “ฉันรู้ว่าฉันไม่สามารถหนีเขาได้จนกว่าฉันจะย้ายไปอยู่ที่อื่น”

ตลอดเวลากว่าหนึ่งปีนับตั้งแต่เหตุการณ์อันเลวร้ายนี้สิ้นสุดลง ซาร่าพาตัวเองเข้าไปในสังคมใหม่ ๆ เธอมีความสุขกับความสัมพันธ์ใหม่ ๆ และรู้สึกว่าได้กลับมาเป็นตัวเองอีกครั้ง!

เป็นเรื่องเลวร้ายที่เหยื่อไม่กล้าที่จะพูดถึงภาวะที่ถูกกระทำ เพราะคิดว่าเป็นเรื่อง “ปกติ” ดังนั้น สิ่งสำคัญคือเราต้องรู้ว่าพฤติกรรมการบังคับควบคุมคืออะไร และหาทางหลีกเลี่ยงภัยคุกคามนี้ให้ได้




ที่มา


เรื่องโดย


ภาพโดย